CF:บทที่ 659 เข้าถึง

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

CF:บทที่ 659 เข้าถึง

 

ชัดเจนเลยว่า ใครจะเป็นคนแรกที่เข้าโจมตีป้อมปราการนั้น เป็นคำถามที่ยากที่จะหาคำตอบ

 

นั่นเพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อปราการพวกนั้นเริ่มโจมตี หุ่นยนต์ด้านหลังเองก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มันยิ่งบีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือก

 

“อูริสเคย์ นี่ของนาย ในกรณีที่เกิดอะไรขึ้นในภายหลัง นายต้องใช้นี่เพื่อเอาตัวเองให้รอดนะ” 1 ในคนที่อยู่ที่นั่นส่งอาวุธหนึ่งชิ้นให้กับอีกคนที่อยู่ข้างๆ

 

และคนที่รับเอาอาวุธชิ้นนั้นไป ก็พบว่ามันมีแสงเปล่งขึ้นมาและกระแทกเข้าที่ป้อมปราการด้านในทันที

 

เหตุการณ์นี้ทำให้เขางงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแข็งไปทั้งตัวและแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาโดนเพื่อนสนิทหักหลังเอาเสียแล้ว มันเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ

 

“เข้าไปเลย! มันยังไม่โจมตีมาซักที เพราะงั้นแสดงว่าไม่มีอันตรายอะไรที่นี่สินะ! รีบโจมตีปราการนั่นเลย!!”

 

“อูริสเคย์ ขอบคุณสำหรับการเสียสละตนเองนะ”

 

คำสั่งเมื่อครู่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้อูริสเคย์พูดออกไปว่าโดนเขาหลอกใช้ เขาสั่งออกไปอย่างภูมิใจในเกียรติ

 

“ออกไปซะ นายไม่ใช่เพื่อนฉัน! ฉันไม่มีเพื่อนอย่างนาย!”

 

อูริสเคย์โยนอาวุธดังกล่าวไปทางชายคนนั้นก่อนจะเดินหนีไปจากเขา

 

ภาพตรงหน้านี้ทำหลายคนรู้สึกสับสน แต่บางคนก็รู้ได้ผ่านจิตใต้สำนึกว่าให้ถอยห่างชายผู้ที่กล้าทรยศอูริสเคย์นี้เสีย

 

อู๋ฮ่าวเหรินและหลูวหยู่มองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าของผู้คนด้านใน โดยเฉพาะการแสดงออกของอูริสเคย์ พร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ

 

อย่างไรก็ตาม อู๋ฮ่าวเหรินมองไปยังเขาคนนั้นก่อนจะแอบถ่ายรูปและส่งให้ไปคนในซองแดงดู

 

“ช่วยดูให้หน่อยว่านี่ใช่นักธุรกิจในตำนาน อูริสเคย์ที่น่าอับอายหรือเปล่า”

 

นักธุรกิจพลังงานพูดด้วยความตื่นเต้น “คิดว่าใช่ หรือว่านายเจอนักธุรกิจในตำนาน อูริสเคย์คนนั้นเหรอ?”

 

“ตอนนี้ยังไม่รู้ แค่ได้ยินชื่อมาเฉยๆแล้วก็จำได้ว่าพวกนายเคยให้ข้อมูลเรื่องนี้มาเมื่อนานมาแล้ว ไว้จะบอกอีกทีนะถ้าโชคดีแล้วเผอิญเป็นเขาจริงๆ”

 

“อ่า ไม่น่าจะใช่คนชื่อเหมือนด้วย แล้วนักธุรกิจในตำนานนั่นเข้าไปทำไมในโบราณสถานน่ะ?”

 

นักขุดแร่พูดขึ้นมาทันที

 

“ผิดแล้ว ในเวลานั้นเขาก็ต้องเข้าไปอยู่แล้ว เพราะช่วงนั้นธุรกิจครอบครัวยังไม่วิกฤต แถมเขายังเป็นแค่รุ่นที่ 2 ที่รู้จักแค่การกิน ดื่มแล้วก็เล่นเองด้วย”

 

“เริ่มคล้ายขึ้นมาละ แต่ภาพที่เห็น ยังไงก็ไม่มั่นใจแฮะ”

 

“ตอนนี้ฉันกำลังใช้การตรวจสอบจากความเข้ากันได้อยู่ เขาคล้ายกันถึง 63% ซึ่งนับว่าสูงมากๆ แต่ถ้านายได้ภาพที่มันชัดกว่านี้ เราก็จะคอนเฟิร์มได้ว่าใช่เขาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการคำนวนช่วงเวลาและอายุด้วย มันค่อนข้างจะคล้ายกับที่นายพูดไว้เลย”

 

“ไม่ต้องไปหาภาพที่มันชัดกว่านี้แล้ว มันเป็นเขานั่นแหละ” อู๋ฮ่าวเหรินพูดอย่างแน่วแน่

 

มองไปยังนักธุรกิจในตำนานที่หนุ่มมากๆ เขารับรู้ได้แม้จะมองผ่านๆ นั่นคืออูริสเคย์แน่ๆ

 

ในตอนนี้ สมองเขาเริ่มจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว หากเขาสามารถล่อลวงคนๆนี้ให้มาเป็นพนักงานของเขาได้ล่ะก็ ปัญหาการจัดการเรื่องในบริษัทในอนาคตก็จะหมดไป

 

คุณอาจจะยังไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นนักธุรกิจระดับตำนานแห่งพันธมิตรจักวาล ตระกูลของเขานั้นนับว่าโด่งดังมากๆสมัยเขายังหนุ่ม เรียกได้ว่าเป็นลูกคนรวยขนานแท้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้าเลย ทำตัวเกียจคร้านไปวันๆ นั่ง กิน แล้วก็รอวันตาย

 

หลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตระกูลของเขา ซึ่งทำให้กลายเป็นตระกูลล้มละลายในทันที สิ่งนี้มันพ่วงให้เขามีหนี้มากมายมหาศาลด้วย

 

นี่จึงทำให้เขาต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่และก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักธุรกิจในตำนานนั่นเอง

 

ขั้นแรกเลย นำโครงสร้างของหมาป่าขาวที่ไม่มีมือไปหารือกับกองทัพว่าจะให้เป็นยุทธภัณฑ์ทางทหาร จากนั้นก็จะสร้างโครงข่ายและติดต่อกับคู่ค้าอีกหลายเจ้า

 

ในท้ายสุดหลังจากพยายามสร้างความน่าเชื่อถือมา 1 เดือน เขาก็ได้รับเงินทุนก้อนแรกของชีวิตและเริ่มสงครามธุรกิจในทันที

 

ในชีวิตของเขา เขาสามารถทำเอายักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจทั้ง 8 ร่วงลงมาได้ แล้วไหนจะบริษัทยิบย่อยอีกนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะได้รับการขนานนามว่าเป็นนักธุรกิจในตำนานแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังทำเรื่องฉาวโฉ่ให้ได้ยินได้เห็นอยู่เรื่อยๆ

 

คู่แข่งต่างกล่าวขานว่าเขาคือหมาป่าผู้หิวโหย นั่นเพราะว่าเขามักจะทำงานราวกับเป็นหมาป่าอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้าจับตามองและรอโอกาสที่จะเข้าโจมตี

 

เพื่อนของเขา เรียกเขาว่า แวมไพร์ นั่นเพราะว่าตัวเขาเอาแต่คิดหาวิธีสูบเลือดสูบเนื้อจากคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา

 

และเช่นกันว่าในพันธมิตรจักวาล เขาเองก็มีฉายา นั่นคือ นักธุรกิจจอมหลอกลวง เพราะเขานั้นทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุมาซึ่งจุดหมาย

 

ชื่อเสียงของเขาในอนาคตนั้น ในความคิดเห็นของอู๋ฮ่าวเหริน ตราบใดที่เขาไม่ใช่เจ้านายและทำงานภายใต้คำสั่งของตัวเขาเอง เขาจะไม่ได้รับชื่อเสียงแย่ๆเป็นอันขาด

 

“พวกนั้นกำลังพยายามทำลายป้อมปราการ พวกเราจะซ่อนอยู่ตรงนี้ต่อไปจริงๆเหรอ?”

 

หลูวหยู่สงสัยและเริ่มก่อกวนให้อู๋ฮ่าวเหรินออกจากโลกส่วนตัว หลังจากที่ได้คุยกับคนในระบบซองแดงแล้ว เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับสถานการณ์ภายนอกบ้าง

 

มันมีหลายๆสิ่งที่นับว่าดีในกลุ่มคนเหล่านี้ บางคนก็พกเอาอุปกรณ์ที่สามารถสู้และป้องกันหุ่นยนต์พวกนี้มาด้วย

 

และบางคนก็กำลังไล่จัดพวกป้อมปราการจนจะหมดแล้ว

 

“ไม่ต้องกังวล ค่อยๆตามพวกนี้ไป พวกเขาเอาสิ่งที่อยู่ข้างในไปไม่ได้ง่ายๆหรอก”

 

ได้ยินคำพูดของอู๋ฮ่าวเหริน หลูวหยู่ก็ค่อยๆใจเย็นลงและมองไปยังสถานการณ์ด้านในโดยไม่ได้ถามไถ่อู๋ฮ่าวเหรินอีก

 

“มาเร็ว เหลือแค่ป้อมนี้ป้อมสุดท้ายแล้ว ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม!”

 

“แล้วนายจะทำอะไร?”

 

“อย่าเบียดดิวะ!”

 

“เข้าไปเร็วๆเด้!!”

 

ท่าทางหากปราการแห่งสุดท้ายถูกทำลาย ใครบางคนอาจจะไม่สามารถรอได้ก็ได้ พวกเขาเองก็กลัวว่าคนที่อยู่ข้างหน้าจะเข้าไปด้านในก่อน

 

“บ้าเอ้ย พวกนายมันน่าละอาย! พวกนายกำลังอยู่ในอันตรายนะ! ถอยกลับไป!”

 

“อันตรายอะไรเล่า ก็เพิ่งจัดการไปหยกๆ หลบนะฉันจะไปข้างหน้า!!”

 

“ข้างหน้านั่นไม่มีอะไร ถ้ายังผลักฉันอีกล่ะก็ฉันจะหักมือนายซะ!”

 

“อ๊า! ช่วยด้วย!”

 

“ฮึ่ย ฉันจะฆ่าให้หมดเลย ใครที่มากล้ามาแหยม!!”

 

“ถ้าไม่มีสมองก็เชิญวิ่งเข้าไปเลย เรายังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด เพราะงั้นแล้วนายอาจจะโดนฆ่าก็ได้ สิ่งเดียวที่เรารู้น่ะ...คือความรุนแรงจากการโจมตีของปราการนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่”

 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในคนที่อยู่ในกลุ่มซึ่งถืออุปกรณ์ป้องกันอยู่ เกราะนั้นแตกกระจายจากการโดนลำแสงโจมตีในคราเดียว

 

สิ่งนี้ทำให้ใครก็ตามที่รั้นและจะวิ่งไปข้างหน้าต่างต้องชะงัก ดูท่าว่าปราการด่านสุดท้าย บางทีอาจจะหมายถึงวันสุดท้ายของชีวิตด้วยก็ได้

 

แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่ลังเลที่จะอยู่กับที่ ณ จุดๆนี้ถ้าขุดหลุมฝังได้ก็ฝังตัวเองไปแล้ว

 

ระหว่างที่พวกเขากำลังใจจดใจจ่อกับภาพตรงหน้า อู๋ฮ่าวเหรินและหลูวหยู่ก็ค่อยๆย่องเข้าไปจากด้านหลัง

 

ในตอนนี้ ทั้งกลุ่มไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของทั้งสองคนเลย

 

อู๋ฮ่าวเหรินใช้อาวุธในมือเขาโจมตีเข้าไปยังป้อมปราการตรงหน้าโดยตรง

 

จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “ฉันทำลายปราการนั่นได้แล้ว! รีบวิ่งไปเลย!!”

 

คนที่อยู่หน้ากลุ่ม เมื่อเห็นว่าปราการสุดท้ายถูกทำลายแล้วพวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ตามด้วยคนอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มอีก

 

ที่แห่งนั้นเหลือเพียงอู๋ฮ่าวเหรินและหลูวหยู่อีกครั้ง และเธอกำลังมองเขาด้วยความสงสัย “ทำไมทำแบบนั้น?”

 

“ช่วยนิดๆหน่อย จะได้ไม่เสียเวลามาก พวกเราก็เข้าไปบ้างเถอะ”

 

เมื่อทั้งสองตามเข้าไป ทุกคนต่างก็อยู่ในท่าทีเตรียมระวัง และมันไม่มีการต่อสู้ใดๆเกิดขึ้น ณ ตอนนี้

 

คนที่รู้จักกันอยู่แล้วก็พูดกันเสียงเบาและเดินไปตามทาง

 

ส่วนบางคนก็เตรียมอาวุธหรือไม่ก็อุปกรณ์ที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองรอดไปได้ไว้ในมือ และเริ่มทำการสำรวจที่แห่งนั้นไปพลางๆ

 

แน่นอนว่ายังมีพวกโง่และหัวล้านบางคนที่เลือกที่จะย้อนกลับไปยังทางเดิมแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น

 

อู๋ฮ่าวเหรินและหลูวหยู่เข้าไปด้านในจนสุดและรอให้พวกคนหมู่มากตัดสินใจก่อน

 

อย่างไรก็ตาม เขาเองก็พบว่านักฆ่า 2 คนที่โจมตีเขาก่อนหน้านั้นก็อยู่ไม่ไกลนัก และในตอนนี้ก็ยังมีคนรอบๆตัวพวกนั้นเพิ่มมาอีก 3 คนด้วย

 

นักฆ่าทั้ง 2 นั้นเหมือนจะเห็นพวกเขาแล้ว พร้อมทั้งหันไปคุยอะไรซักอย่างกับ 3 คนที่มาด้วยกัน

 

อู๋ฮ่าวเหรินยิ้มให้พวกนั้นราวกับรู้จักทุกคนบนโลก จากนั้นก็เลิกสนใจและหันไปสังเกตุการณ์ผู้คนที่กำลังเข้ามาแทน



แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น