CF:บทที่ 449 ล่อลวงนักวิทยาศาสตร์

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

CF:บทที่ 449 ล่อลวงนักวิทยาศาสตร์

“ถ้าอยากรู้เรื่องพวกนี้ พวกคุณควรมาโรงเรียนเพื่อศึกษามัน บางอย่างไม่สามารถพูดให้เข้าใจได้ในทันที มันเป็นเพียงหลักการของยานอวกาศฉันใช้กว่าสิบกว่าวันเริ่มต้นโดยที่ยังไม่เริ่มเลย"

"ใช่ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าขอให้คุณเข้าร่วม แต่คุณอยากศึกษาความรู้เหล่านี้ก็ต้องไปโรงเรียนด้วยตัวเอง"

"ในโรงเรียนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผมมีความรู้อยู่บ้าง และผมกล้าพูดเลยว่าหลังจากเรียนมันแล้ว ผมจะเก่งกว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์เสียอีก ตอนที่แก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้แล้วโลกคณิตศาสตร์ก็ตกตะลึง ถ้าพวกเขามาเห็นสิ่งที่พวกเราได้เรียนพวกเขาอาจจะเป็นบ้าไปเลย"

"..."

คำพูดเป็นชุดจากหลาย ๆ คนทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขารู้สึกไม่ดี

พวกเขาไม่คิดเลยว่าการวิจัยตลอดชีวิตได้มีอยู่ในความรู้ที่สอนในโรงเรียนของฟิวเจอร์กรุ๊ปไปก่อนแล้ว

อู๋ ฮ่าวเหรินมองพวกเขาเดินออกมาจากห้องและถามว่า "คุณรู้สึกอย่างไร?"

"ผมรู้สึกแย่มาก ถ้ารู้แบบนี้ ผมคงไม่ยอมรับคำเชิญให้มาที่โรงเรียนนี้ของคุณหรอก"

"การวิจัยของผมมันไร้ค่าจริง ๆ "

ดูจากสีหน้าของพวกเขาแล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงปลอบไปว่า "การวิจัยของคุณเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ ซึ่งจำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย"

"มันก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้นแหละ เมื่อได้เห็นความรู้ในโรงเรียนนี้ ผมก็รู้สึกว่าความรู้ที่เรามีนั้นเหมือนความรู้ยุคหินเสียมากกว่า"

อู๋ ฮ่าวเหรินคิดว่ามันเหมือนกับตอนที่เขาติดต่อกับคนในอนาคตเป็นครั้งแรก ระดับเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันสำหรับเทคโนโลยีในอนาคตนั้นก็เป็นดั่งมนุษย์ยุคหิน

ว่าตามที่เหล่าคนในอนาคต ถึงแม้ว่าโลกจะไม่สามารถไปต่อได้ แต่มันก็ยังเป็นดาวบ้านเกิดอยู่

หลังจากกลับไปที่ฟิวเจอร์กรุ๊ป อู๋ ฮ่าวเหรินก็พูดคุยกับเหล่านักวิทยาศาสตร์ในร้านอาหารของบริษัท

เขาบอกแม้กระทั่งความคิดบางอย่างของเขากับคนเหล่านี้ซึ่งทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ต้องอ้าปากค้าง

"คุณช่างเป็นที่เด็กหนุ่มบ้าดีเดือดเสียจริง ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริงคุณรู้รึเปล่าว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรต่อโลก?"

"ผมยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับผลกระทบหรอก อย่างไรก็ตามผมคิดว่าผมสามารถแก้ปัญหาได้ต่อให้ผลกระทบจะร้ายแรงมากก็ตาม แม้ว่าผมจะไม่ชอบใช้กำลังเพื่อแก้ไขปัญหาแต่หากมีปัญหาผมก็ไม่ลังเลที่จะใช้มัน"

เสียงสงบของอู๋ ฮ่าวเหรินทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนหวาดกลัว วันนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงสามารถปกครองโลกด้วยกำลังได้

ซึ่งหากใช้วิธีการนี้หลายคนจะตาย

"ผมจะเข้าฟิวเจอร์กรุ๊ป แต่ผมจะต้องเข้าโรงเรียนนั้นเพื่อศึกษาต่อ มิฉะนั้นผมเกรงว่าจะไม่เข้าใจเทคโนโลยีของคุณเลย"

"ถ้าคุณเข้าฟิวเจอร์กรุ๊ปจริง ๆ ผมจะให้คุณได้เรียน ผมหวังว่าคุณจะเชิญนักวิทยาศาสตร์มาเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นด้วย ผมต้องการเปลี่ยนโลกนี้ ไม่ใช่แค่พวกคุณ"

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมอู๋ ฮ่าวเหรินถึงทำแบบ แต่พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ความรู้ที่นี่ก้าวหน้ามาก ถ้ามันแพร่หลายออกไปมันจะทำให้มนุษยชาติก้าวเข้าสู่โลกใหม่ได้เลย

“แต่ในความเป็นจริงถ้าคุณต้องการทำให้ความรู้เหล่านี้แพร่หลายได้ คุณก็ต้องแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นคือหลังจากศึกษาความรู้เหล่านี้ไปแล้ว พวกเขาสามารถใช้มันเพื่อสร้างรายได้และหาผลประโยชน์ได้หรือไม่ เหมือนกับนักเรียนในโรงเรียนของคุณ พวกเขาศึกษาความรู้เหล่านี้ไป หากพวกเขาไม่สามารถประโยชน์จากมันได้ล่ะก็ ผมมั่นใจว่าพวกเขาคงจะไม่เรียนมันตั้งแต่แรกเลย"

อู๋ ฮ่าวเหรินพยักหน้า นั่นคือสิ่งที่เขากังวล ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนอะไรสักอย่างก่อน

และเขาสร้างเมืองเหล่านั้นเพื่อแก้ปัญหานี้ หากใครต้องการอาศัยอยู่ในเมืองของเขา คนนั้นก็จะต้องมีวิธีการทำมาหากิน

วิธีการเหล่านั้นก็จะต้องเรียนจากโรงเรียนที่จัดการโดยฟิวเจอร์กรุ๊ป

ทว่า ตอนนี้เนื่องจากปัญหาเรื่องสัญญาณขอความช่วยเหลือ อู๋ ฮ่าวเหรินจึงเป็นกังวลเล็กน้อย เขาเกรงว่าจู่ ๆ สงครามอาจจะมาถึงเลยก็ได้

หลังจากเห็นนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้แล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็เข้าใจชัดเจนว่าจะมีข่าวลือเกี่ยวกับฟิวเจอร์กรุ๊ปในแวดวงวิทยาศาสตร์ในวันพรุ่งนี้

สำหรับนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้พวกเขาจะนำนักวิทยาศาสตร์มาสู่ฟิวเจอร์กรุ๊ปได้กี่คน ก็ขึ้นอยู่กับข่าวลือและจำนวนคนที่สนใจ

เพียงคืนเดียวนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ก็เริ่มพูดคุยกับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในฟิวเจอร์กรุ๊ป

บางคนไม่เชื่อ บางคนตกใจ และนักวิทยาศาสตร์บางคนในต่างประเทศก็กลัว

และประเทศที่มีส่วนร่วมในสถานีอวกาศนานาชาติเมื่อพวกเขารู้ข่าวก็ไม่แปลกใจ

เนื่องจากฟิวเจอร์กรุ๊ปกำลังร่วมมือกับมนุษย์ต่างดาว เทคโนโลยีเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฟิวเจอร์กรุ๊ป

ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว เรียกร้องเทคโนโลยีมากขึ้นแล้วก็ทำลายอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น

เนื่องจากมนุษย์ต่างดาวรู้ว่าพวกเขาซุกซ่อนอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขารู้ว่ามนุษย์ต่างดาวสามารถค้นหาอาวุธนิวเคลียร์และเริ่มทำลายอาวุธนิวเคลียร์ในปริมาณมากแบบไม่คิดเก็บอาวุธดังกล่าวไว้

ในมุมมองของพวกเขาเทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวนั้นทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธนิวเคลียร์เสียอีก

เมื่ออู๋ ฮ่าวเหรินรู้เรื่องนี้เขาก็พูดไม่ออก เขาไม่คิดเลยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็สามารถทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ด้วย

แน่นอนว่าในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ จีนได้กลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี แต่พวกเขาก็ทำลายอาวุธนิวเคลียร์โดยเลิกหวังว่าจีนจะยังคงมีอาวุธดังแบบนั้นอยู่

จีนไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ ในช่วงนี้รัฐบาลกำลังศึกษายานอวกาศ นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็มาที่โรงเรียนของฟิวเจอร์กรุ๊ปเพื่อเรียน

อู๋ ฮ่าวเหรินกำลังเตรียมตัวสำหรับปีใหม่ระหว่างรอการตอบรับจากนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น มีสามวันก่อนปีใหม่ การร้องเพลงและการแสดงต้องการเตรียมล่วงหน้า

บริษัทมีวันหยุด แต่คนในโรงเรียนดูเหมือนจะไม่อยากหยุดเท่าไหร่ บางคนที่พาครอบครัวมาอยู่ด้วยก็พร้อมที่จะฉลองปีใหม่กันในฟิวเจอร์กรุ๊ป

กลับบ้านมาแล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็ถามหลิง เหมิงเสวี่ยว่า “เหมิงเสวี่ย เธออัดเพลงสำหรับปีใหม่แล้วรึยัง?"

หลิง เหมิงเสวี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า "อัดไปแล้วพี่ฮ่าวเหริน"

"พี่เหมิงเสวี่ยอัดเพลงไว้ตั้งห้าเพลง และน้องแดฟเน่ก็ได้ร้องเพลงหนึ่งด้วย แต่มันก็ไม่สนุกเท่าพี่เหมิงเสวี่ยหรอก"

อู๋ ฮ่าวเหรินตบหัวน้องสาวของเขาเบา ๆ แล้วบอกว่า "นั่นเพราะพี่เหมิงเสวี่ยของเธอมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงต่างหาก ว่าแต่คุณสาวน้อย เธออยากเรียนรู้เรื่องการสร้างเครื่องจักรกลจากฉันรึเปล่า"

"ฉันอยากสร้างหุ่นยนต์ที่สวยงามเหล่านั้นนะ แถมลุงซีโร่ก็บอกว่าฉันมีพรสวรรค์ในการสร้างหุ่นยนต์ด้วย"

อู๋ ฮ่าวเหรินรู้ว่าคนที่เรียกว่าซีโร่นั้นเป็นจี้ที่ปลอมตัวมา

"งั้นก็เรียนให้หนักเลย ในอนาคตเธออาจจะได้เป็นนักสร้างชุดเกราะเลยก็ได้นะ" อู๋ ฮ่าวเหรินพูดติดตลก

"พี่ ชุดเกราะคืออะไรหรอ? มันดีกว่าหุ่นยนต์อีกหรอ?"

"ใช่แล้วทรงพลังมากเลยล่ะ"

ขณะนี้หลิง เหยาเข้ามาจากข้างนอก ชายคนนี้โตเป็นหนุ่มจิตกรมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ยินมาว่าเขาเจอผู้หญิงเมื่อตอนที่เขากำลังวาดรูปอยู่

"ไม่ว่านายออกไปวาดรูปอยู่หรอ ทำไมกลับมาเร็วจัง?"

"อย่าพูดแบบนั้นสิ ช่วงนี้แย่มากผมเกือบจะโดนถล่มตายแล้ว" หลิงเหยาพูดด้วยความสลดใจ

"หรือนายจะไปโรงเรียนดีล่ะ"

มันน่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้ไปเรียนด้านศิลปะ ตามฐานะของขุนศึกในโลกอนาคต หากฝึกเขา เราอาจจะสร้างนายพลมานำกองเรือรบได้เลย


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น