CF:บทที่ 416 สะเทือนไปทั้งโลก
เทคโนโลยีของโลกไม่สามารถทำได้แม้แต่การเดินทางไปดาวอังคาร แต่ตอนนี้กลับมีคนมาบอกกับพวกเขาว่าพวกตนได้พัฒนาเทคโนโลยียานอวกาศแล้ว ฟังดูไปก็เหมือนเรื่องตลก
“คุณอู๋ล้อเราเล่นหรือเปล่า เทคโนโลยียานอวกาศจะไปถึงขนาดนั้นได้ยังไง”
“ฉันก็คิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่น ไม่อย่างงั้นโลกคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ”
มีหลายคนไม่เชื่อว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปจะมีเทคโนโลยีนี้อยู่ในมือ เทคโนโลยียานอวกาศแบบนั้นที่หลายๆประเทศต่างกำลังศึกษาอยู่ แต่ส่วนมากยังไม่ประสบความสำเร็จ
แต่อย่างไรก็ตาม การแนะนำโรงเรียนในวิดีโอด้านล่างจะทำให้พวกเขารู้ว่าวิดีโอก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเรื่องล้อเล่น
สิ่งที่โรงเรียนนี้ต้องการจะสอนพวกเขาก็คือความรู้เกี่ยวกับเรื่องยานอวกาศ
“นี่ฉันกำลังฝันอยู่สินะ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
“ฉันก็คิดว่าเราทุกคนกำลังฝันอยู่ เรามาที่นี่เพื่อเรียนเรื่องยานอวกาศ และก่อนจะมาที่นี่ ฉันก็เดาโน่นนี่ไปเรื่อย คิดแม้กระทั่งเรื่องเรียนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รวมถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้วย แต่นี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ฉันไม่เคยฝันว่าจะได้เรียนมาก่อน”
“ฉันก็อยากจะรู้เดี๋ยวนี้เลยว่า ข่าวนี้จริงหรือมั่ว เพราะถ้าจริง ฟิวเจอร์กรุ๊ปจะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งมาก”
“ใครจะไปรู้ ถึงมันจะดูเหมือนเรื่องจริงก็เถอะ แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วคุณคิดไหมว่าผลกระทบของข่าวนี้จะเป็นเช่นไร ผมรู้สึกเลยว่าเหมือนมีบางประเทศกำลังจะต้องดิ้นพล่านแน่ๆ”
“ไม่นานมานี้ ฉันก็ได้ยินมาว่าประเทศจีนและประเทศสหรัฐอเมริกากำลังศึกษาเรื่องยานอวกาศด้วยเทคโนโลยีฟิชชันและฟิวชันนิวเคลียร์ ถ้ารู้ข่าวนี้เข้า พวกเขาจะคิดยังไงกันนะ”
ในขณะที่เขากำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่นั้น คนที่ถูกส่งมาจากรัฐ 5คนก็รู้สึกว่าตนดูโง่ไปในทันที
พวกเขารู้ว่าเมื่อมาที่ฟิวเจอร์กรุ๊ป พวกเขาก็จะต้องได้เรียนเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้รับการแจ้งมาว่าพวกตนกำลังจะได้เรียนเรื่องเทคโนโลยียานอวกาศซึ่งสร้างความอัศจรรย์ใจให้พวกเขาเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง เสียงของอู๋ ฮ่าวเหรินก็ดังขึ้นในหูของพวกเขา
“ผม อู๋ ฮ่าวเหริน เป็นผู้บริหารของฟิวเจอร์กรุ๊ป ตอนนี้พวกคุณมีโอกาสเลือกแล้ว ถ้าตัดสินใจว่าจะอยู่ โปรดช่วยเขียนลงในสัญญาให้สมบูรณ์ ผมไม่ต้องการใช้วิธีที่คนปกติเขาไม่ทำกันในการจัดการคนที่ทำลายเอกสารสัญญานะครับ”
“และถ้าคุณเลือกว่าจะไป เราจะได้ยกเลิกสัญญาให้กับพวกคุณ”
มีใครคนหนึ่งถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง “จริงๆแล้ว พวกเราต้องการเรียนเรื่องเทคโนโลยียานอวกาศ ฟิวเจอร์กรุ๊ปมีเทคโนโลยีที่ผลิตยานอวกาศได้จริงๆใช่ไหม”
“อืม นี่ก็คงเป็นคำถามที่ใครๆก็อยากจะถามสินะ ฉะนั้น ผมก็อยู่ตรงนี้แล้ว ก็จะขอตอบพวกคุณเลยว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปมีเทคโนโลยียานอวกาศอยู่จริง บางทีในอนาคตอันใกล้นี้ พวกคุณอาจจะเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ได้ไปสำรวจจักรวาลก็ได้”
อู๋ ฮ่าวเหรินได้รับคำตอบที่เป็นด้านบวกกลับมา บางคนที่เคยสงสัยในตอนนี้กลับอึ้งไป
จะเป็นไปได้ยังไงที่ฟิวเจอร์กรุ๊ปจะมีเทคโนโลยียานอวกาศจริงๆ
ในขณะที่หลายคนกำลังคิดอีกเรื่องหนึ่ง ว่าถ้าฟิวเจอร์กรุ๊ปมีเทคโนโลยียานอวกาศจริงๆล่ะก็ ก็มั่นใจได้เลยว่าอู๋ ฮ่าวเหรินไม่ได้เป็นคนพัฒนามันขึ้นมาเองหรอก แล้วเทคโนโลยีตัวนี้จะมาจากที่ไหนกันล่ะ
หลังจากเกิดความคิดนี้ในใจ หลายคนก็นิ่งไป เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คืออารยธรรมจากนอกโลก
แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะสงสัยเรื่องเทคโนโลยีจากฟิวเจอร์กรุ๊ป เพราะดูเหมือนว่าอู๋ ฮ่าวเหรินจะไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาเอง และตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่สงสัยจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“ถ้าคุณมีอะไรจะถาม ก็ให้ทิ้งข้อความไว้บนแพลตฟอร์มข้อมูลโรงเรียนก็ได้ แล้วต่อจากนี้ เราจะพาไปชมโรงเรียน ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ที่คุณจะได้เรียนต่อไป”
ในห้องแล็บของโรงเรียน อู๋ ฮ่าวเหรินหันไปมองปฏิกิริยาของนักเรียนแต่ละคนก่อนจะเข้าใจชัดเจนว่ามันจะมีผลต่อเขามากแค่ไหนถ้าเรื่องนี้ถูกปล่อยออกไป
“จี้ เครือข่ายป้องกันเริ่มเปิดใช้งานหรือยัง”
“เริ่มใช้งานแล้วค่ะ ฉันได้ลงประกาศไปบนเว็บไซท์ทางการแล้ว”
แต่ทว่าบนเว็บไซท์ทางการนั้น เมื่อได้คำประกาศดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ผู้คนกลับไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“ใครจะไปรู้ว่าหมายถึงอะไร พวกฟิวเจอร์กรุ๊ปต้องการจะทำอะไรกันแน่”
“ไม่เข้าใจสุดๆเลย แต่ก็ดูเหมือนว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปคงจะสร้างเครือข่ายรักษาความปลอดภัยในบริเวณที่เราอยู่ล่ะนะ นี่มันเป็นการรักษาความปลอดภัยระดับชาติเลยไม่ใช่หรือ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจ คงต้องรอใครมาอธิบายให้ฟัง”
และเมื่อประเทศเหล่านั้นได้ทราบข่าวนี้ พวกเขาก็รู้สึกงุนงงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะรัฐบาลจีนที่ไม่เข้าใจว่าการสร้างเครือข่ายป้องกันในบริเวณนี้ของฟิวเจอร์กรุ๊ปนั้นหมายถึงอะไร
“ได้ข่าวอะไรมาจากฝ่ายข่าวกรองบ้างไหม”
“ไม่เลยครับ ทุกคนในฟิวเจอร์กรุ๊ปไปอยู่ที่โรงเรียนนั้นหมดและข่าวนี้คงมีผลอะไรสักอย่างกับทางโรงเรียนแน่”
“ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเหมือนกับว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น และจะต้องคอยดูแนวโน้มของพวกฟิวเจอร์กรุ๊ปอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ พวกเราก็จะไม่ส่งใครไปที่โรงเรียนนั่นทั้งนั้น บอกให้เขารู้ด้วย”
“ตอนนี้ทางผมยังติดต่อไม่ได้เลยครับ พอหลังจากที่เข้าโรงเรียนนั้นไปแล้ว สัญญาณก็จะถูกบล็อกทันที”
ในตอนนี้ คนในโรงเรียนต่างมองไปที่อุปกรณ์มหัศจรรย์ในโรงเรียน ทั้งยังเชื่อว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปคงจะมีเทคโนโลยียานอวกาศอยู่ในมือจริงๆ
“นี่คืออุปกรณ์จำลองยานอวกาศ หลังจากเรียนเรื่องทฤษฎีแล้ว พวกคุณก็ต้องฝึกฝนยานอวกาศจำลองตัวนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว”
“คุณเคยทำแล้วใช่ไหม”
“ใช่”
ทั้งชายและหญิงต่างสนใจอุปกรณ์ตัวดังกล่าวพลางกระตือรือร้นอยากจะลองมันทีละอัน และโชคดีที่ที่นี่มีอุปกรณ์อยู่มากมาย อู๋ ฮ่าวเหรินจึงคิดโจทย์นี้ให้พวกเขาทำเป็นอย่างแรก
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกกดดันเพราะต่างไม่เข้าใจศัพท์ทางวิชาการและคำสั่งโปรแกรมอีกมากมายหลายแบบ
“ฉันจะเป็นลม ใครจะไปรู้ว่าพวกนี้หมายถึงอะไร”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเลย แล้วจะใช้งานยังไง”
“บ้าชิบ นี่มันระบบอาวุธนี่ แล้วฉันจะต้องฆ่าตัวเองยังไงกันนะ”
“ฮ่าๆๆ ฉันกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือไปเลยล่ะ”
ในเวลาไม่นาน กลุ่มคนดังกล่าวจึงรู้สึกว่าเหมือนพวกตนกลายเป็นคนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ไปเลย เมื่อต้องเจอกับความแปลกใหม่เช่นนี้ ทั้งระบบที่พวกตนไม่สามารถใช้งานมันได้แม้จะมีคำอธิบายเขียนไว้แล้วก็ตามที
เมื่อได้เห็นคำอธิบายที่แสนจะซับซ้อน แม้จะเขียนมาเป็นตัวหนังสือ แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เมื่อได้เห็นคะแนนของผลการทดสอบ ใบหน้าของผู้คนก็ขึ้นสี พวกเขาต่างเป็นคนระดับหัวกะทิในสังคมและไม่เคยได้คะแนนตกต่ำสุดๆเช่นนี้มาก่อน
เมื่อออกมาจากโรงเรียน พวกเขาก็ต่างไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปนั้นมีเทคโนโลยียานอวกาศหรือไม่ แต่กลายเป็นวิธีการที่จะเรียนเรื่องเทคโนโลยีการใช้งานยานอวกาศแทน
แต่ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ดูร้อนรนอย่างมาก ผู้ชายคนนี้คือคนที่กองทัพทหารสหรัฐอเมริกาส่งมาเพื่อสังหารอู๋ ฮ่าวเหริน โดยหลังจากได้เดินไปทั่วโรงเรียนแล้วนั้น เขาก็รู้สึกเลยว่าชีวิตของตนคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่ว่างานของพวกเขาจะออกมาสำเร็จหรือไม่นั้น นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความวุ่นวายใจให้อยู่พอสมควร
หลังจากพวกนักเรียนออกไปจากเขตโรงเรียนและได้รับทราบข้อมูลในโรงเรียนแล้วนั้น พวกเขาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เผยแพร่สิ่งนี้ออกไป แต่แล้วข้อมูลส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องก็ได้ปรากฏขึ้นบนอินเทอร์เน็ต
เมื่อได้รับข้อมูลดังกล่าว พวกเขาก็คิดว่านี่คงเป็นเรื่องตลก
แต่หลังจากยืนยันแล้วว่าข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง รัฐมนตรีฝ่ายข่าวกรองที่รู้เรื่องนี้เข้าก็โกรธแทบบ้า
“บ้าชิบ นี่เป็นเรื่องจริง ฉันอยากจะบ้า”
เมื่อข่าวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแล้วนั้น ความลับก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป เพราะแม้แต่เว็บไซต์ทางการรวมถึงวิดีโอก็ถูกโพสท์เอาไว้ด้วย
ผู้คนมากมายรู้สึกสับสนเมื่อได้เห็นข้อมูลนี้ และก็รู้สึกว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปกำลังล้อเล่นกับพวกเขาอยู่
ไม่นาน พวกเขาก็พบว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยสักนิด และดูจะเป็นเรื่องจริง โลกทั้งโลกในตอนนั้นต่างรู้สึกสะเทือนไปตามๆกัน
0 ความคิดเห็น