RC:บทที่ 426 พบปะผู้คน
“นายพูดว่าอะไรนะ?” ตู๋กังถาม
“มันเป็นเรื่องจริง ที่เจ้าสิ่งนี้ใช้งานได้ จำที่ฉันพูดได้หรือเปล่า?...” หลินเฟิงย้ำเตือนเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำให้ตู๋กังและเจ้าลิงฟังพร้อมกับอธิบายเสริมบางอย่างเข้าไปด้วย
“ห้ะ? นี่นายสามารถใช้เจ้านี่พร้อมกันได้กี่อันนะ?” เมื่อเจ้าลิงได้ยินดังนั้น เขาก็ช็อกไปเลย
คนดูอย่างพวกคุณก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าถึงแม้ว่าเจ้าลิงจะเป็นคนสร้างเจ้าพวกนี้ขึ้นมา แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันหรอก เพราะงั้นพอหลินเฟิงพูด เขาจึงรู้สึกไม่ต่างกับได้ค้นพบทวีปใหม่เลย ทั่วทั้งร่างของเขามันตื่นเต้นไปหมด
“พระเจ้า! แล้วหลังจากใช้ 3 ชิปพร้อมกันแล้วเป็นยังไงบ้าง? มันเร็วขนาดไหนน่ะ?” ตู๋กังที่ได้ฟังเรื่องที่หลินเฟิงเล่าแล้วก็รีบถามด้วยความงุนงงทันที
“มันก็เร็วแหละ แต่เหมาะกับนายหรือเปล่านี่ฉันไม่รู้นะ” หลินเฟิงตอบ
เพราะเรื่องนี้หลินเฟิงเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป สิ่งเดียวที่พอจะยกมาเป็นเหตุผลได้นั่นก็น่าจะมาจากระบบเกลียวคลื่นสีดำนั่นแหละ
ไม่งั้นแล้วชิปทั้ง 3 ไม่น่าจะสามารถใช้ร่วมกันได้แน่ๆ ด้วยพลังที่ทรงพลังที่ซึ่งซ่อนอยู่ในระบบเกลียวคลื่นสีดำนี้ น่าจะเป็นอย่างเดียวที่สามารถใช้เป็นเหตุผลที่ทำให้ชิปนี่ทำงานพร้อมกันได้แน่ๆ
“เข้าใจแล้ว! ถ้ายังไงฉันจะลองมันอีกทีนะ!” เจ้าลิงพูดด้วยความดีใจ
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของหลินเฟิงก็สั่นขึ้นมา และเมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันมาจากหวังหาน
เห็นดังนั้นแล้วหลินเฟิงก็รีบรับโทรศัพท์ทันทีและเสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากปลายสาย “พี่เฟิง พี่พร้อมหรือยัง? เราต้องกลับแล้วนะ!”
ดูเหมือนว่าวันนี้หลินเฟิงจะต้องกลับบ้านแล้ว และหวังหานเองก็มารับเขาในฐานะคนขับรถเหมือนปกติ
ขณะที่กำลังกลับบ้านนั้น หลินเฟิงและลู่ซื่อจี้ก็คุยกันผ่านโทรศัพท์มือถือ หากไม่รีบคุยเรื่องนี้เขาเองคงต้องคิดเรื่องรายได้นี่วนไปวนมาซ้ำๆแน่ๆ
เสียงปลายสายที่ตอบกลับมานั้น คือลู่ซื่อจี้ที่กำลังรายงานถึงรายได้ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา และพูดถึงโปรเจคขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินการอยู่ด้วย
และ 1 ในเรื่องที่ทำให้หลินเฟิงช็อกที่สุดนั้นก็คือ การที่เขากลายมาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเขต G พร้อมกับนั่งบัลลังก์ 1 ใน 10 ชายที่รวยที่สุดในจีนอีกด้วย
หลินเฟิงไม่รู้เลยว่า ขณะที่เขาออกไปทำงานของเขานั้น บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่โตก็เกิดขึ้น และเจ้าสิ่งนั้นก็ทำให้เขากลายมาเป็นคนรวยที่สุดในเขตไปโดยปริยาย
เมื่อหลินเฟิงเจาะจงถามถึงเรื่องเงินที่เขามีอยู่ ลู่ซื่อจี้ก็ค่อยๆตอบ “ตอนนี้เรามีเงินอยู่ หนึ่งแสนล้านค่ะ และถ้าเจ้าลิงไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากไปกับการวิจัย ป่านนี้เราน่าจะมีเงินทะลุแสนล้านไปแล้ว!”
ยิ่งได้ฟังเขาก็ยิ่งช็อก หลินเฟิงไม่สามารถกลับมาเป็นคนปกติได้เลยกว่าครึ่งวัน นี่ถ้าเขาไม่ได้ยินเรื่องนี้จากลู่ซื่อจี้ เขาคงคิดว่านี่มันเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ๆ
ในตอนนี้ หลินเฟิงและหวังหานก็ค่อยๆขับรถผ่านเข้าไปทางหมู่บ้านด้วยกันแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาออกไป เขาและครอบครัวนั้นก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกันขนาดนี้
แต่ในครานี้ เมื่อหลินเฟิงและหวังหานกลับไปถึงบ้าน เขาก็พบว่าสภาพของหมู่บ้านลั่วหยางเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปบ้างซักเท่าไหร่ แต่พลังวิญญาณที่อยู่ด้านในนั้นมันแผ่ซ่านเข้มข้นและรุนแรงมากกว่าเดิมมากๆ
เพียงแค่เข้ามาทางทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็พบกับกลุ่มคนจำนวนมากยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ใช่แล้ว พวกเขาคือคนในหมู่บ้านนี้นั่นเอง
พวกเขานั้นไม่รู้ว่าหลินเฟิงจะกลับมาเมื่อไหร่ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อต้อนรับหลินเฟิงมาตั้งแต่เช้าแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็ถือป้ายยาวที่เขียนไว้ว่า “ยินดีต้อนรับหลินเฟิง ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในเขต G!”
เมื่อเห็นชาวบ้านออกมาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้ พวกเขาก็หยุดรถก่อนที่จะลงไปพบปะพวกคนเหล่านั้น
ทางฝั่งชาวบ้านที่่เห็นหลินเฟิงลงมา พวกเขาก็ร้องออกมาเสียงดัง
ท่ามกลางคนเหล่านี้ เขาเห็นครอบครัวของเขา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงหยุดรถ
การที่ได้เห็นลูกชายกลับมานั้นมันก็ทำให้ผู้เป็นครอบครัวต่างมีความสุขกันถ้วนหน้า หลินเฟิงและครอบครัวไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว แน่นอนว่าด้วยเวลาที่ผ่านมานานขนาดนี้ มันเลยทำให้พวกเขาคิดถึงกันเอาเสียมากๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นหลินเฟิงเก็บครอบครัวไว้ในส่วนลึกของจิตใจมาโดยตลอด นั่นเพราะเขายุ่งมากจนไม่มีเวลากลับมาคิดถึงธุรกิจของเขาเลย
ในตอนนี้ เมื่อเขาได้เจอหน้ากันอีกครั้ง หลินเฟิงก็ตื่นเต้นและดีใจมากๆ พวกเขาใช้เวลาทักทายและถามไถ่กันอยู่ที่หน้าหมู่บ้านนานพอสมควรเลยก่อนที่จะกลับบ้านไป
เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว หลินเฟิงก็กลับมาถึงบ้านได้ 3 วันแล้ว แต่กระนั้นผู้คนก็ยังมาหาหลินเฟิงอยู่เรื่อยๆราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ลุงป้าทั้ง 7 ผู้ที่รู้จักแบบประปรายเองก็ผลัดๆกันเข้ามาหาเหมือนกัน
แม้แต่คนที่สำคัญๆภายในเขตนี้ ตัวจังหวัด รวมถึงจากที่ต่างๆ ต่างก็พากันมายังบ้านของหลินเฟิงเพื่อทักทายเขา
ถึงตัวหลินเฟิงจะไม่ได้รู้จักมักจี่กับคนพวกนี้ทุกคน แต่เขาก็ยังให้การต้อนรับอย่างดีเสมอมา จนกระทั่งวันที่สาม เหล่าคนที่ไม่ได้โด่งดังและเป็นใหญ่เป็นโตก็เริ่มมากัน และหลินเฟิงก็ยังคงต้องรับอย่างดีเช่นกัน
“ฟู่! เหนื่อยสุดๆไปเลยแฮะ” หลินเฟิงเดินมายังสวนหลังบ้านและพูดออกมาเสียงดัง
เมื่อหลินเฟิงมายังสวนหลังบ้าน เขาก็รีบปลดปล่อยสัตว์วิญญาณออกมาจากหว่างคิ้วที่ซึ่งเป็นมิติสัตว์เลี้ยงในทันที เมื่อเหล่าสัตว์วิญญาณเหล่านี้ออกมา พวกมันก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์และพื้นพิภพที่ล้นเปี่ยมได้ในคราแรกที่สัมผัสกับบรรยากาศ ความรู้สึกร่าเริ่งมันฟุ้งออกมาจนพวกมันต้องกระโดดโลดเต้น เหล่าสัตว์วิญญาณต่างวิ่งไปทั่วและวิ่งไล่กันรวมถึงต่อสู้เล่นตามประสาไปด้วย
ในตอนนั้นหวังหานกลายเป็นผู้ติดตามเพียงหนึ่งเดียวของหลินเฟิง นั่นก็เพราะว่าทั้งตู๋กังและคนอื่นๆต่างก็ถูกหลินเฟิงส่งไปให้ไปทำอย่างอื่นอยู่ มันเลยทำให้เขามาติดตามหลินเฟิงไม่ได้
“จิตวิญญาณแห่งโลกและสวรรค์มันหนาแน่นขึ้นมากกว่าเดิมอีกนี่ จำได้ว่าก่อนจะออกไปยังไม่ขนาดนี้เลย!” หลินเฟิงพูด
“พี่เฟิง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าฉันนำหินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลากสีไปฝังไว้ที่ใจกลางของป่าแห่งนี้ตามที่พี่เฟิงบอกไว้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พลังวิญญาณของที่นี่มันเพิ่มขึ้นมาในเวลาอันสั้น!” หวังหานอธิบาย
“ทำได้ดีไปเลยนี่นา!” หลินเฟิงพยักหน้าและพูดขณะที่มองเขาไปด้วย
เพียงไม่กี่เดือน ภูเขาหลังบ้านของเขานั้นก็กลายเป็นสถานที่ที่ซึ่งล่อตาล่อใจของเหล่าสัตว์วิญญาณทั้งหลายไปแล้ว ซึ่งจริงๆมันก็เป็นไปตามที่หลินเฟิงคาดการณ์ไว้ เขาหวังว่าในอนาคตที่แห่งนี้จะปลดปล่อยพลังวิญญาณได้มากกว่าเดิม และมันจะได้ดึงดูดสัตว์วิญญาณให้เข้ามามากกว่านี้อีก
เมื่อหลินเฟิงเดินเข้าไปในป่า เขาก็รู้สึกได้ถึงสัตว์วิญญาณระดับ S เต็มไปหมด ไหนจะยังระดับ SS อีก ซึ่งสัตว์พวกนี้ช่วยยืนยันได้ดีว่าที่แห่งนี้มีพลังวิญญาณอยู่ในเกณฑ์ที่มหาศาลแล้ว
“ยังไงก็เถอะ ตอนนี้เราเหลือหินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกกี่ก้อนนะ?” หลินเฟิงถาม
“ฉันทำตามที่พี่ขอไปแล้ว หินวิญญาณส่วนใหญ่ก็ให้พวกสมาชิกในกรุ๊ปไป ส่วน 1 ก้อนที่เหลือจากนั้นฉันก็เอามาฝังไว้ที่นี่และอีก 1 ก้อนฉันเก็บเอาไว้ แล้วมันยังเหลืออยู่อีก 6 ก้อนแน่ะ” หวังหานอธิบาย
“อืม ดีแล้ว นายทำตามที่ฉันบอกไว้ได้ดีมาก เพราะงั้นเดี๋ยวนายก็จะแข็งแกร่งขึ้นในเร็วๆนี้แล้วล่ะ ตอนนี้นายอยู่ระดับ A ขั้นสุดยอดแล้ว อีกไม่นานนายคงจะทะลุระดับ S ได้!” หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของหวังหานจึงพูดออกมา
“ขอบคุณที่พี่เฟิงไว้ใจและช่วยสนับสนุนฉันมาในตลอด ถ้าไม่งั้นฉันคงไม่มีใครเลยในชีวิตนี้” หวังหานพูดจากใจจริง
หลินเฟิงลูบไหล่เขาก่อนจะพูด “ไอ้น้องชาย ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ นายจะเก็บหินวิญญาณเพิ่มไปอีกซักก้อนก็ได้ แล้วเหลือไว้ให้ฉันแค่ 5 ก้อนพอ แค่นั้นฉันก็พอใช้แล้วล่ะ”
“ครับ!” หวังหานสัญญาณและมอบหินวิญญาณอีก 5 ก้อนให้แก่หลินเฟิง
0 ความคิดเห็น