RC:บทที่ 409 สังเกตการณ์รังโจร

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 409 สังเกตการณ์รังโจร


 “ในที่สุดก็มา ฉันรอพวกนายอยู่นานมากเลยนะ” ไค ซือว่าเบาๆเมื่อเขาเห็นคนสองคนนั้น


“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า” ชายที่มีแสงสีเหลืองเอ่ยถามขึ้น


เมื่อหลิน เฟิงได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็ว่าน่าจะเป็นเสียงผู้ชาย ซึ่งฟังดูยิ่งใหญ่เอามากๆ แทนที่จะเป็นเสียงแก่ๆแบบไค ซือ ฟังดูนี่น่าจะเป็นเสียงชายวัยกลางคนมากกว่า


ไค ซือมองไปที่พวกเขา ก่อนจะพูดขึ้น “ก็แน่ล่ะสิ เชื่อถือได้อยู่แล้ว นี่เป็นข่าวที่เราดั้นด้นหามาได้เลยนะ แล้วทำไมถึงส่งพวกนายมาที่นี่แค่สองคนล่ะ”


“สองคนก็น่าจะพอไม่ใช่หรือ หรือคิดว่าเราอ่อนแอ” ในตอนนั้นเองชายที่มีแสงสีม่วงก็ได้ว่าขึ้น


เสียงนั้นเย็นยะเยือก แต่ก็ดูน่าฟัง ราวกับกังวานมาจากที่ไกลแสนไกลหลายพันไมล์ ดูไม่แก่มาก ทั้งคู่เลย


“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ในกลุ่มญี่ปุ่นพวกนั้นน่ะมีระดับเก่งๆอยู่หลายคน ฉันก็แค่เกรงว่าเราจะสู้มันไม่ไหวน่ะสิ” ไค ซือกล่าว


หลิน เฟิงกับปา เต๋าต่างฟังโดยไม่พูดขัดอะไร เพราะคนพวกนี้คือพวกที่มีพลังแกร่งที่สุดของระดับ SSS แถมยังน่ากลัวสุดๆ ต่อหน้าสองคนนี้ พวกเขาต่างไม่มีสิทธิ์พูดอะไรกันเลย


แต่ทว่าตอนนี้ พวกเขากลับพบสถานที่รวมตัวที่สำคัญจากฟาง หยุนแล้ว โดยสถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นสถานที่รวมตัวที่ใหญ่และลึกลับที่สุดของพวกญี่ปุ่นพวกนั้นในจังหวัด S ก็ได้


“คุณรู้พลังที่พวกนั้นมีจริงๆไหม” ชายที่มีแสงสีเหลืองเอ่ยถาม


“ไม่เลย” ไค  ซือหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ก็เพราะฉันไม่รู้ยังไงล่ะ ไม่รู้จริงๆ ฉันก็เลยไม่ได้ส่งคนมาเยอะ แต่ก็เป็นเกียรติจริงๆที่ส่งเราสองคนมา” หญิงสาวทีมีแสงสีม่วงว่าขึ้น


“ก็นะ” ไค ซือดูมีท่าทีผิดหวังและกังวล เขาก็มักจะวิตกแบบนี้ล่ะ


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมากมายที่ไม่รู้ที่อาจจะไปเจอ แต่ถามมากไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่นัก


ไม่นาน ไค ซือกับหลิน เฟิงก็ได้พาพวกเขาไปยังสถานที่ที่พวกเขาได้พบกัน ส่วนปาเต๋ากับหวัง ฉีนั้น หลิน เฟิงได้ขอร้องให้พวกเขากลับไปซะ เพราะพละกำลังของพวกเขาอาจจะเป็นการดึงเรื่องพวกนี้เข้ามา


แม้พวกนี้จะไม่มีสัตว์วิญญาณเหมือนหลิน เฟิง ก็อาจมีเรื่องได้


หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ชายคนที่มีแสงสีเหลืองก็หันมามองหลิน เฟิง ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วนี่นายจะทำยังไงกับเด็กระดับ A ขั้นสูงสุดคนนี้กันล่ะ ใช้เป็นเหยื่อล่อหรอ”


คำพูดดังกล่าวทำเอาหลิน เฟิงถึงกับกระตุก ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่จริงๆแล้ว เมื่อเทียบกับคนพวกนี้ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน เขาน่ะแหละที่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แต่ถึงกระนั้นหลิน เฟิงก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมาว่าฟรีๆ


หลิน เฟิงส่งเสียงฮึมฮัมอันเย็นยะเยือกออกมา ก่อนที่เกล็ดสีดำจะผุดขึ้นจนคลอบคลุมไปทั่วร่างของเขาเป็นสีดำสนิท


อีกทั้งแรงส่งของหลิน เฟิงก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงระดับ SS ขั้นกลางซึ่งทำเอาทั้งสองคนถึงกับแปลกใจ และไม่พูดอะไรอีกเป็นเวลานาน  เพราะหลิน เฟิงในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่อันตราย


“ไม่เลวนี่” แสงสีม่วงบนร่างหญิงสาวคนดังกล่าวกวาดมาที่ร่างหลิน เฟิงเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น


ไม่ว่าระดับ SS จะอยู่ในขั้นไหน ก็นับว่าเป็นหนึ่งในขั้นที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ทั้งสองคนจะมีพลังอำนาจและดูทรงเกียรติเป็นที่สุด แต่ก็ไม่มีผลอะไรต่อความรู้สึกหลิน เฟิงอีกต่อไปแล้ว


ทั้งสามคนแหวกช่องออกมา ก่อนจะมุดเข้าไป จากนั้นหลิน เฟิงก็ตวัดกรงเล็บทั้งสองข้างของตน ก่อนที่ช่องว่างจะแหวกขึ้นตรงหน้าเขา แต่เมื่อเทียบกับสามคนที่เหลือ ช่องที่แหวกออกมากลับต่างกันออกไป


ในระหว่างทาง หลิน เฟิงจึงได้รู้จักชื่อคนทั้งสองคนในที่สุด คนหนึ่งชื่อจี่ยี่ เธออยู่ในระดับ SSS ขั้นต้น พร้อมกับแสงสีม่วงปกคลุมรอบตัว ส่วนผู้ชายอีกคนชื่อโม่หยาน อยู่ระดับ SSS ขั้นสูงสุด


เมื่อหลิน เฟิงและคนอื่นๆปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็ได้มาอยู่ที่ป่าภูเขาซึ่งห่างไกลหลายร้อยเมตร อีกทั้งยังมีต้นไม้อีกมากมาย วัชพืชชั้นสูงและหายาก ซึ่งแม้แต่หลิน เฟิงเองยังประหลาดใจกับสถานที่แบบนี้


ทั้งสี่คนนั้นเหาะขึ้นไปอย่างช้าๆ และหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว จู่ๆไค ซือก็ได้เรียกให้ทุกคนหยุด 


ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้เห็นคนมากมายสวมหน้ากากกำลังจัดระเบียบอยู่ในถ้ำเล็กๆถ้ำหนึ่ง


ที่ตั้งของถ้ำดังกล่าวนั้นลับตาคนมาก มองจากข้างนอกไม่เห็นเพราะกิ่งไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นจนบังถ้ำดังกล่าวนั้นมิด นี่ถ้าพวกเขาไม่เห็นคนออกมาล่ะก็ ก็คงไม่รู้เลยว่ามีถ้ำอยู่ที่นี่


“ที่นี่น่ะหรือ”โม่หยานขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดกระซิบ


“ใช่แล้วล่ะ นายไม่เห็นพวกนินจาญี่ปุ่นที่เพิ่งเข้าไปหรือไง” ไค ซือว่า


โม่ หยานจัดการปิดพลังแสงสีเหลือง เพราะเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็รู้สึกงุนงง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันเห็นว่ามีนินจาญี่ปุ่นเยอะแยะเลย แต่ว่าเหมือนจะมีลมหายใจอื่นที่ต่างออกไปนะ”


“ลมหายใจอื่นที่ต่างออกไปงั้นหรือ” ไค ซือรู้สึกงุนงง ก่อนจะสัมผัสด้วยความระมัดระวัง ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะเดินเข้าออก ถึงแม้จะสวมชุดและหน้ากากดำ แต่ลมหายใจนั่นยังไงก็ไม่ใช่นินจาญี่ปุ่น


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” หลิน เฟิงเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย


“เป็นลมหายใจของพวกกลายพันธุ์” จู่ๆจี่ยี่ก็พูดขึ้น


“กลายพันธุ์งั้นหรือ อะไรกันน่ะ” หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลิน เฟิงก็ถึงกับตกใจมาก ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จริงๆ


แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้น โม่หยานก็เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่ ไม่ใช่แค่นั้น แต่ยังได้กลิ่นของมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ด้วย”


“ไม่นะ มันดูซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก” ไค ซือเองก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของพวกนั้นที่เดินเข้าออก


คนพวกนี้ไม่ได้มาจากแค่ประเทศๆเดียวแน่ แต่มาจากหลายประเทศเลยทีเดียว


ตามที่ไค ซือได้อธิบายนั้น หลิน เฟิงจึงเข้าใจในไม่ช้าว่ามีทั้งนินจาญี่ปุ่น สัตว์กลายพันธุ์อเมริกัน แวมไพร์ฝรั่งเศสและหมาป่าเยอรมัน


แต่ละพลังก็มาจากต่างที่ หรือถ้าจะให้พูดก็คือ ผู้คนในนั้นล้วนแต่มีความสามารถพิเศษที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปทั้งนั้น


จะไม่ให้พวกเขาคิดว่าคนพวกนั้นจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันได้อย่างไร เรื่องนี้ทำให้หลิน เฟิงและคนอื่นๆถึงกับตกใจมาก


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว


ฉะนั้น ความคิดที่พวกนั้นจะต้องตายก็ได้หายวับไป ไม่ว่าอื่นใด ก่อนที่พวกเขาจะได้มาที่นี่ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังจากประเทศหลายประเทศที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่


นี่คือการสุมหัวครั้งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด


“ตอนนี้เอาไงต่อ” โม่ หยานเริ่มสับสนขึ้นมาเล็กน้อย


“ไม่รู้สิ พวกนายอยากจะรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบไหมล่ะ” ไค ซือเอ่ยถาม


ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ครั้งนี้ ทั้งสามคนถึงได้แสดงร่องรอยของความตื่นกลัวและสับสนออกมา


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น