RC:บทที่ 408 รังซ่องสุมที่แท้จริง
“ตาแกนี่เป็นใครกันน่ะ” และสิ่งที่ทำให้ผู้คนแทบกระอักเลือดก็คือตัวฟาง หยุนที่เหลือบมองชายชราตรงหน้าก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างดูถูก
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งสามคนที่อยู่ไกลๆจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ป๊าบ
มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น เงาปลิวผ่านไป ทุบลงบนกำแพงตรงนั้น ก่อนที่กำแพงนั้นจะพังลง
“แค่ก” ฟาง หยุนร่วงลงกับพื้น ก่อนจะไอเสียงดัง
“สารเลว นี่น่ะคือผู้ก่อตั้งตระกูลฟางเชียวนะ เป็นต้นตระกูลของฟาง กุ้ยชาน เป็นทวดของฉัน แกกล้าเรียกเขาแบบนี้ได้ยังไง” คังชานว่าเสียงลั่น
“ว่าไงนะ ผู้ก่อตั้งระกูลฟางงั้นหรือ แค่ก ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือครับ” ฟาง หยุนไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะว่าขึ้น
ป้าบ!
เมื่อพูดจบ เขาก็ถูกตบเข้าที่บริเวณหู และในตอนนี้คนที่ดึงเขาไปไม่ใช่คังชานแล้ว แต่เป็นผู้ใช้พลังระดับ SS อีกคนหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆต่างจ้องมองไปยังชายรุ่นหลาน
ผู้ใช้พลังระดับ SS นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นปู่ของฟาง หยุนเลยหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่ถึงกระนั้นพวกเขาต่างก็ให้ความเคารพกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลฟางอีกด้วย
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงก็คือพวกเขากลับมีลูกหลานแบบนี้ ทุกๆคนล้วนโกรธจัด
เมื่อฟาง หยุนถูกจับตัวมาอยู่ตรงหน้าไค ซืออีกครั้ง เขาก็กลับหงอและไม่กล้าทำตัวอวดเก่งเหมือนเดิมอีกแล้ว และเขาก็รู้ด้วยว่าผู้คนที่อยู่ตรงหน้าล้วนแล้วแต่น่ารำคาญกันทั้งนั้น แม้แต่ปู่และพ่อของเขาเองก็โกรธเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นกับการที่พวกญี่ปุ่นมาโจมตีงั้นหรือ” ฟาง กุ้ยชานเอ่ยถาม
“พวกญี่ปุ่นก่อเรื่องอะไร วางระเบิดหรือครับ” ฟาง หยุนถามเสียงสั่น
“ใช่” ไค ซือตอบ
หลังจากที่ไค ซือตอบไป ฟาง หยุนก็ถึงกับตกใจ กลอกตาไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “คือผม ผมไม่รู้ ผมเองก็เป็นเหยื่อนะ”
ป้าบ!
ฟาง กุ้ยชานตบเขาจนตัวลอย ดูจากการที่ฟาง หยุนกลอกตาไปมา ก็รู้ได้เลยว่าหมอนี่น่ะโกหก อย่างน้อยก็บางส่วน
“ฉันจะให้โอกาสแกอธิบายอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนั่น” ฟาง กุ้ยชานว่าขึ้น
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็ได้เอ่ยขึ้น “ก็ผมไม่รู้จริงๆ ผมรู้แค่ว่าในตอนนั้น ผมกำลังหานักสู้ที่แข็งแกร่งในจังหวัด S เพื่อเอามาเข้าแข่งขัน แล้วในตอนนั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินมาหาผม แล้วก็บอกว่าพวกเขาสามารถทำให้ผมชนะได้”
“แล้วพวกนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร แล้วทักษะล่ะ” ไค ซือเอ่ยถามขึ้น
“คนผู้ชายชื่อยามามูระ ส่วนผู้หญิงชื่อผีสาว ซึ่งน่าจะเป็นฉายาของเธอ และในตอนนั้น ผีสาวก็สู้จนชนะ ผมก็เลยให้ข้อมูลที่จำเป็นในทุกๆเรื่องกับคนพวกนั้น รวมถึงค่าจ้างด้วย แล้วก็อย่างอื่นอีก”
“ในตอนนั้นเอง ผีสาวคนนั้นน่ะอยู่ในระดับ A ขั้นสูงสุด ส่วนชายคนนั้นอยู่ระดับ SS” ฟาง หยุนตอบ
“แล้วนายรู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นคนญี่ปุ่น” ไค ซือถามต่อ
“เอ่อ ก็รู้อยู่ครับ แต่ผมคิดว่าพวกนั้นก็จากบ้านตัวเองกันมานานแล้ว แถมเงื่อนไขที่พวกเขาเสนอให้ผมก็ดีมากๆเลยด้วย พวกเราก็เลยร่วมมือกันในอีกไม่กี่วันต่อมา ผมให้การคุ้มครองตัวตนของพวกเขา ให้พวกนั้นสะสมความนิยมให้ผมและจ่ายเงินให้...”
“ฮึ่ม แกนี่มันแย่มากจริงๆ คิดอะไรของแก” ฟาง กุ้ยชานส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอก่อนจะเอ่ยตำหนิ
เมื่อเวลาผ่านไป ฟาง หยุนจึงได้บอกรายละเอียดบางส่วนให้กับไคซือจนจบ “ผมเองก็คาดไม่ถึงว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะถูกทำลายย่อยยับ ผู้คนล้มตายเป็นเบือ แล้วถ้าตอนนั้นร่างกายของผมไม่มีเกราะคุ้มกันอยู่ล่ะก็ ผมก็คงไม่ได้มายืนพูดตรงนี้แล้ว”
“ที่แกทำน่ะ คือการช่วยพวกญี่ปุ่นนั่นทางอ้อม และยังทำให้ชาวจีนตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย แกควรจะต้องตายเพราะบาปครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ พวกเราคงเอาแกไว้ไม่ได้แล้ว และที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อทำลายการสั่งสมพลังของแก” ฟาง กุ้ยชานเอ่ยขึ้นก่อนจะสวนหมัดเข้าที่ร่างฟาง หยุนจนเขากระอักเลือดออดมาตัวปลิว
“เอาล่ะ ขับไล่ชายคนนี้ออกจากบ้านตระกูลฟางไปซะ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เขาไม่ใช่สมาชิกของตระกูลอีกแล้ว” ฟาง กุ้ยชานเอ่ยขึ้น พลางตะโกนไปยังคนที่อยู่ใกล้ๆเขา
ทันทีที่คังชานได้ยินคำพูดของกุ้ยชาน เขาก็ถึงกับตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณทวดครับ ไม่ดีมั้งครับ”
คังชานรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะฟาง หยุนนั้นเป็นหลานชายเพียงคนเดียวและเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฟางด้วย
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง” ฟาง กุ้ยชานเอ่ยเสียงลั่นขึ้นมาอีก
“ครับๆ คุณทวด ในฐานะผู้ก่อตั้งตระกูลฟางขอประกาศว่านับจากนี้ฟาง หยุนได้ถูกขับออกจากตระกูลฟางและจะไม่ได้ใช้แซ่ของตระกูลฟางอีก” คังชานเอ่ยเสียงดังลั่นด้วยความปวดใจที่ตนต้องแบกรับ
“ไม่นะไม่ คุณปู่ๆ ปู่จะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะครับ” ฟาง หยุนเป็นถึงระดับสูงสุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลฟาง แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงเสียสิทธิ์นี้ไปล่ะ
“ท่านไค ซือ นับตั้งแต่วันนี้ไป ฟาง หยุนคนนี้ไม่ใช่สมาชิกในตระกูลของเราอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะทำอะไรกับเขา เอ่อ ฉันรู้สึกไม่สบายเลย ขอตัวก่อนล่ะ” ฟาง กุ้ยชานเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้น กำไม้เท้า เดินโขยกเขยกไปทางซ้าย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันจะเป็นคนพาเขาไปเอง” ไค ซือมองไปที่ฟาง กุ้ยชาน แล้วจากนั้นทั้งหมดจึงพากันกลับไป เขาจัดการฟาดฟาง หยุนจนสลบ ก่อนจะแบกร่างของเขา และพวกเขาก็เดินกันมา
“ไป” หลังจากพูดจบ เขาก็หอบร่างฟาง หยุนไว้ด้วยมือ จากนั้นจึงเดินออกไป
ในระหว่างที่เดินทาง พวกหลิน เฟิงทั้งสามคนต่างไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่คิดว่าตระกูลฟางจะเด็ดขาดและขับไล่ฟาง หยุน ลูกหลานที่เป็นสายเลือดของตระกูลออกไปแบบนี้
“พวกตระกูลฟางนี่โหดร้ายกันจริงๆ” ปาเต๋ากล่าว
“ไม่ใช่โหดร้ายหรอก แต่เพื่อความถูกต้องและเป็นสิ่งที่ยึดถือกันมา ตระกูลฟางเขารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ร้ายแรงแค่ไหน ถ้าเบื้องบนตำหนิลงมาล่ะก็ แม้ตระกูลฟางจะมีความเข้มแข็งอยู่บ้าง แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่ตามมาก็ได้ในครั้งนี้ ถึงจะเข้าไปพัวพันเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ทั้งตระกูลจะต้องถูกถอนรากถอนโคนทั้งหมดในทันที นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องขับไล่ฟาง หยุนออกไปอย่างไม่ลังเล กลายเป็นลูกหลานที่ถูกทิ้ง” ไค ซืออธิบาย
“ไปกันเถอะ พาเจ้านี่ไปยังที่ปลอดภัย จากนั้นก็ปลุกเขา แล้วถามข้อมูล” ไค ซือกล่าว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันต่อมา ไค ซือและคนอื่นๆอีกสี่คนก็ได้รู้ในสิ่งที่ฟาง หยุนรู้ ทั้งยังเส้นทางในการหา จนทั้งสี่คนได้รู้รังซ่องสุมที่แท้จริงของนินจาญี่ปุ่นพวกนั้นในที่สุด
รังซ่องสุมเก่าแก่นี้เป็นสถานที่ที่พวกนินจาญี่ปุ่นกบดานอยู่ในจังหวัด S ในที่นั้นจะต้องมีนินจาที่แข็งแกร่งอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นหลิน เฟิงจึงต้องไม่ทำอะไรเกินกว่าเหตุ
ไค ซือร้องขอความช่วเหลือจากเบื้องบนไปตั้งแต่แรกแล้ว และหลังจากนั้นก็ได้รับการตอบกลับมา และเขาก็ได้ส่งผู้มีพลังระดับ SSS สองคนมาเพื่อให้ช่วย
ตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือรอผู้ใช้พลังระดับ SSS มา แล้วค่อยไปรังซ่องสุมของพวกนินจาญี่ปุ่นกันหลายๆคน
หลังจากรออยู่ไม่กี่ชั่วโมง ลมหายใจเข้มข้นก็เข้ามาหาพวกเขา จากนั้นกลางอากาศก็เกิดช่องแหวกขึ้นมาสองช่อง ก่อนที่ผู้มีพลังสองคนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าไค ซือก็ปรากฏตัวขึ้น
ใบหน้าของทั้งสองคนมีแสงแปลกๆบังอยู่ หลิน เฟิงเห็นเป็นเพียงแสงระยิบระยับบนร่างของทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นแสงสีม่วง ส่วนอีกคนเป็นสีเหลือง แล้วพวกเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
“ในที่สุดก็มาถึง...”
0 ความคิดเห็น