RC:บทที่ 400 ความโกลาหล

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 400 ความโกลาหล


มีคนอยู่หลายแสนคนข้างใต้นี้ อาจจะไม่น้อยกว่า 300000 คนโดยประมาณ และมีเพียง 20 หรือ 30 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ และค่อนข้างแข็งแกร่งพอตัว


เกือบจะไม่มีใครที่อ่อนแอเลยที่จะรอดมาได้ ในตอนนี้ พวกเขาต่างยืนตัวชาดิก ไม่รู้ว่ามาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว พวกเขาตัวสั่นเทาก่อนจะเดินไปยังฝั่งหนึ่ง


“แล้วตอนนี้ เอาไงต่อดี” หวัง ฉีถามขึ้น


“อย่างแรก เราต้องกลับก่อน และไปดูว่าร้านอาหารโหยวหยี่ยังอยู่ไหม” ปาเต๋ากล่าวกับคนทั้งสองก่อนจะเดินกลับไป


หลังจากนั้นเพียงครู่ ทั้งสองก็มาถึงร้านโหยวหยี่ และในตอนนั้นเอง พนักงานของทางร้านก็ได้รอพวกเขาอยู่แล้วตรงประตู


หวัง ฉีกับปาเต๋าเองก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นร้านอยู่ไกลๆและไม่ได้รับผลกระทบอะไร


แต่เรื่องที่หลิน เฟิงหายตัวไปนี่สิ ทำเอาทุกคนถึงกับหน้าเสียเลยทีเดียว


หวัง ฉีกับปาเต๋าใช้มือถือโทรหาหลิน เฟิง เป็นเวลาครึ่งวันแล้วแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ จนในที่สุด ปาเต๋ากับหวัง ฉีจึงต้องรายงานสถานการณ์ดังกล่าวนี้ให้กับหวัง ฮ่าวหมิงและพวก


หวัง ฮ่าวหมิงกับคนอื่นๆในนั้นเมื่อได้ยินว่าหลิน เฟิงกำลังตกอยู่ในอันตรายและหายตัวไปนั้น ก็ต่างตำหนิหวัง ฉีและปาเต๋า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวัง ฉี ที่ต้องเป็นคนดูแล แต่ทำหน้าที่บกพร่อง หวัง ฮ่าวหมิงจึงโกรธจัด


ทั้งตู๋ กัง หวัง หานและคนอื่นๆในจังหวัด G ต่างไม่พอใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ จนอยากจะสับพวกเขาเป็นชิ้นๆ ก่อนจะตามหาตัวหลิน เฟิงทั้งๆที่โกรธอยู่แบบนั้น


ข่าวของหายตัวไปของหลิน เฟิงนั้น หวัง ฮ่าวหมิงเป็นคนปิดเรื่องนี้ไว้รวมถึงคนอื่นๆด้วยในตอนแรก แต่ไม่สามารถปิดบังครอบครัวเขาได้


จากนั้น ลู่ ซื่อจี้แห่งบริษัทหลินกรุ๊ปก็ได้ปล่อยข่าวเรื่องการออกตามหาหลิน เฟิงไปทั่วประเทศ เพียงครู่เดียว คนทั่วโลกต่างก็ออกตามหาหลิน เฟิง


“หา ที่นายพูดนี่จริงอ่ะ ที่ว่าไม่นานมานี้ บริษัทหลิน ที่เป็นบริษัทที่กำลังรุ่งเรืองนั่น ใช้เงินจำนวนมากไปกับการตามหาคนๆหนึ่ง และคนที่เจอจะได้เงินรางวัลไปถึง 100 ล้านหยวนน่ะ”


“ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้น ว่าแต่บริษัทหลิน กรุ๊ปอะไรเนี่ยเป็นบริษัทแบบไหนงั้นหรือ ไม่ยักกะเคยได้ยิน” ชายคนหนึ่งถามขึ้น


“ใช่ ฉันก็ไม่เคยได้ยิน” อีกคนว่าขึ้น


“พวกนายไม่รู้จักหรอกหรือ ก็เห็นว่าชอบผลไม้รสอร่อยๆนั่นนี่ แล้วนายก็ด้วย นายก็ชอบไก่ฟีนิกส์จากร้านโหยวหยี่ที่สุดนี่ ไม่ใช่หรือ” คนชวนคุยแรกเอ่ยถามขึ้น


“แล้วไง แล้วของพวกนี้มันทำไมกับบริษัทหลินงั้นหรือ” คนที่สองถามขึ้น


“ก็ร้านโหยวหยี่น่ะแหละที่เป็นร้านผลไม้แสนอร่อยนั่น ทั้งสองที่นั้นน่ะอยู่ภายใต้บริษัทหลิน นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหกรรมอีกหลายอย่างเลยด้วย เช่นพวกเทคโนโลยี อุตสาหกรรมไวน์ แล้วก็อื่นๆอีก เห็นว่าใช้เวลาไม่ถึงปีก็ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอำนาจและทรงอิทธิพลที่สุดในอนาคตเลย” ชายคนนั้นยังพูดต่อไป


“จริงหรือนี่ บริษัทหลินมีอำนาจขนาดนั้นเลยหรือนี่”


“ไร้สาระน่า...”


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหตุการณ์สุดช็อคก็ได้เริ่มขึ้นเป็นประเด็นร้อนและเกิดเป็นความโกรธไปทั่วประเทศจีน ในบรรดาเมืองชายฝั่งของประเทศจีน อำเภอต่างๆและเมืองในจังหวัด H จังหวัด D จังหวัด J และจังหวัด F และจังหวัดอื่นๆ สถานการณ์ของหลิน เฟิงและจังหวัดอื่นๆก็ดูจะเหมือนกัน


สิ่งนี้ทำให้ผู้คนทั่วประเทศตื่นกลัว รัฐบาลต้องรวมตัวกันรวมถึงฝ่ายสว่างและฝ่ายมืดจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เองก็แสดงความโกรธจัดออกมาเช่นกัน


นอกจากนี้ ยังมีการระเบิดมากกว่า 20 ครั้งในห้าจังหวัดและเมืองต่างๆในจังหวัด S ซึ่งเป็นที่ที่หลิน เฟิงอยู่อีกด้วย โดยเฉลี่ยแล้วสี่หรือห้าครั้ง ซึ่งฟังดูน่ากลัว


“บ้าจริง เจ้าพวกญี่ปุ่นกระจอกนั่นมันจองหองมากจนเราทนกันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วนะ” ที่เมืองหลวงของจีน ชายผมสีดอกเลาเอ่ยขึ้น ก่อนจะตบโต๊ะด้วยความโกรธ


ที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่งระหว่างผู้สูงวัยนั้น ประกอบด้วยผู้ทรงพลังทั้งหมด และล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจทั้งนั้น และยังเป็นผู้นำกันทั้งนั้นด้วย


“อย่างแรก เราต้องใจเย็นก่อน พวกคุณจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” หนึ่งในนั้นที่อยู่ข้างล่างถามขึ้นเสียงดัง


 “เรื่องที่จะจัดการพวกญี่ปุ่นที่ก่อเรื่องพวกนี้แล้วหลบหนีไปนั่นน่าจะใช้เวลาไม่นาน ในการที่จะจับใครมาสักคนแล้วยิงให้ฉันดู” ชายแก่คนดังกล่าวว่าขึ้นเสียงลั่น


“ลำดับแรกเลยเนี่ย กลุ่มคนพวกนั้นล้วนเป็นผู้มีพลังครับ คนธรรมดาไม่สามารถรับมือได้เลย และบางคนก็ไม่กลัวปืนเลยด้วย” อีกคนว่าขึ้น


“ใช่แล้ว อย่างแรกเลย ผมคิดว่าเราจะต้องทิ้งเรื่องนี้ให้ผู้มีพลังดูแลกันไปนะครับ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาๆจะแก้ได้เลย และสิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือค้นหาว่ามีพวกญี่ปุ่นกี่คนที่แทรกซึมเข้ามาในประเทศจีนครับ” ชายคนนั้นว่าขึ้น


“ฮู่ ได้ ก็ถูก งั้นส่งเรื่องนี้ไปให้เร็วเลย แขวนคอพวกญี่ปุ่นนั่น แล้วเอาร่างพวกมันไปให้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ซะ ถ้านายลงพื้นที่ เราอาจจะรู้ก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น...” คนแรกที่พูดว่าขึ้น


ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงนับตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ในตอนนี้เอง หลิน เฟิงนอนอยู่ในห้องมืดห้องหนึ่ง สภาพซูบผอม อ่อนแอและเซไปมา


เมื่อลมหายใจของหลิน เฟิงกำลังจะหายไปนั้น มือถือของเขาก็สั่นขึ้นมา ก่อนที่ลมหายใจจะสงบลง


“เจ้านี่ไม่ตายง่ายๆแฮะ ฉันคิดว่านายจะลาโลกไปเสียแล้วก่อนจะมาที่นี่ แต่ถึงตอนนี้นายจะยังไม่ตาย แต่ฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้หรอกนะ” ชายชรามองไปที่ร่างกายภายนอกของหลิน เฟิงก่อนจะว่าขึ้นอย่างกังวล


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ภาพบิดเบี้ยวภาพหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายชรา เป็นหน้าชายชราผมขาวที่ลอยไปมาจ้องกลับมา


“ไค ซื่อ” เสียงเข้มนั้นดังมาจากภาพที่บิดเบี้ยวภาพนั้น


“หืม อยากพบเจ้าแห่งการลงทัณฑ์งั้นหรือ” ชายชราคนดังกล่าวจ้องภาพชายชราในรูปที่บิดเบี้ยวนั่น 


คนในภาพถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบออกไปอย่างรวดเร็ว


“หืม นี่นายรู้หรือว่าฉันกำลังตามหาอะไรอยู่” ชายชราผมสีดอกเลาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามย่นคิ้วก่อนจะพูดขึ้นอย่างโกรธๆ


“ไค ซื่อเข้าใจ ไค ซื่อรู้ว่าเขาผิด โปรดลงโทษข้าด้วย” ชายชรานามว่าไค ซื่อก้มหัวลงต่ำ ก่อนจะเอ่ยไป ตัวสั่นไป


“อืม รู้แบบนี้ก็ดี มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ของนาย เกิดเรื่องร้ายอะไรกัน แล้วตอนนี้ รายงานมา” ชายผมขาวว่าขึ้น


“ครับ ผมประเมินแล้วว่ามีคนตายมากกว่าสาม เอ่อ สามแสนคนครับ” ในขณะที่เอ่ย ไค ซื่อก็รู้สึกได้ว่าเสียงเขาเองก็สั่นไปด้วย


“แล้วไงต่อ” เมื่อชายแก่คนดังกล่าวได้ยินแบบนั้น หน้าเขาก็ถึงกับตึงก่อนจะเอ่ยถามขึ้น


“แล้วก็ พวกญี่ปุ่นนั้นฆ่าพวกเขาหมดเลย จำนวนนินจาประเมินแล้วน่าจะมีมากกว่า 500 คนเลย โดยมี 400 คนที่ระดับต่ำกว่า S และมากกว่า 30 คนที่อยู่ต่ำกว่า S ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับ SS แต่ทว่า พวกที่หนีพวกนินจาไปได้คือพวกที่มีระดับ SS เริ่มต้นครับ” ไค ซื่อกล่าว


ไคซื่อกล่าวขึ้นโดยไม่ได้มองไปที่ชายแก่ในภาพที่บิดเบี้ยวนั้น


“ฮึ่ม ไม่เป็นไรน่า ก็ยังดีกว่าคนอื่นๆแล้วกัน ไอ้สวะพวกนั้นมันกล้าปล่อยให้พวกนินจาญี่ปุ่นที่ก่อเรื่องหนีไปได้ แต่อย่างน้อย นินจาส่วนใหญ่ก็ถูกฆ่าไปแล้ว  นายจะต้องเป็นคนแรกที่เตรียมการ งั้นขอส่งนายไป” หลังจากกล่าวแบบนั้นออกมา ชายชราผมขาวก็ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอที่เย็นยะเยือก ก่อนที่ภาพบิดเบี้ยวนั่นจะหายไปในทันที


หลังจากภาพนั้นหายไป ผู้เฒ่าไค ซื่อก็รู้สึกผ่อนคลายลง แต่จริงๆแล้วในตอนนี้เขากลับรู้สึกกังวลต่างหาก


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น