RC:บทที่ 381 สายด่วน
หยุน เชาเอ่ยขึ้นกับคนที่อยู่ใกล้ตน “เอาเลย ให้ผีสาวจัดการ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะได้ดูเธอจัดการกับหมาป่ากระหายเลือดนั่น”
“ขอรับ นายน้อย...”
ส่วนหลิน เฟิงกับคนอื่นๆนั้นกลับกันไปด้วยความสุขใจ ยิ่งได้ต่อสู้ทุกวันๆก็ยิ่งทำให้ตัวเขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อย แต่ทักษะการต่อสู้ของเขาและความสามารถในการต่อสู้ตอนนี้นั้นพัฒนาขึ้นไปอีกมากโขเลยทีเดียว
หลังจากสู้ไปแล้วหลายวัน หลิน เฟิงก็มีลางสังหรณ์ว่าสิงโตทองกำลังจะไปถึงระดับ A รวมถึงสัตว์วิญญาณชั้นต้นๆระดับ B อีกสองตัวก็ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ ปาเต๋ากับหวังฉีก็รู้สึกมีความสุขที่ได้หินวิญญาณมา เพราะตราบใดที่พนันข้างหลิน เฟิง พวกเขาก็จะได้หินวิญญาณกลับมาเยอะมาก
สัปดาห์ต่อสู้ผ่านไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ความนิยมในตัวของหลิน เฟิงที่การต่อสู้ใต้ดินนั้นเป็นที่โด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ และคู่ต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นนักสู้ที่เก่งกาจและได้รับความนิยมเป็นหลายพันเท่า
หลิน เฟิงเองก็เอาชนะไม่ง่ายเหมือนก่อนแล้ว ตัวเขาเองนั้นก็สู้จนถึงที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว หลิน เฟิงได้ปล่อยร่างของสิงโตทองออกมา ไม่อย่างงั้นล่ะก็ เขาคงได้ฆ่าคนพวกนั้นไปแล้ว
หลังจากที่กลับไปแล้ว หลิน เฟิงก็รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะคู่ต่อสู้ที่เขาได้เจอในวันนี้นั้นแข็งแกร่งเอาการ เป็นผู้ใช้พลังระดับ A กันทั้งนั้น หลิน เฟิงคิดว่าสองคนนี้คงจะเป็นนักต่อสู้ที่เก่งกาจชั้นต้นๆเป็นแน่
ตอนที่เขาใช้แค่สิงโตทอง เขาเองยังรู้สึกว่าหลบได้ยากเลย
แต่โชคยังดีที่หลิน เฟิงทั้งแกร่งทั้งถึก ในที่สุด เขาก็เอาชนะคู่แข่งได้ในตอนที่คู่ต่อสู้หมดแรงไปได้
เมื่อหลิน เฟิงกลับไปถึงห้องของเขาที่โรงแรม เขาก็ทิ้งตัวลงนอน ซักพัก ในขณะที่เคลิ้มๆกำลังจะหลับอยู่นั้นเอง มือถือเขาก็สั่นขึ้นมา
“เฮ้ย ใครวะ ไม่ได้นอนเลย” หลิน เฟิงว่าขึ้นด้วยความร้อนใจ
แม้จะพูดแบบนั้น แต่มือเขาก็ขยับไปมา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับกระเป๋า แล้วจากนั้นก็หยิบมือถือมาแนบหูก่อนจะว่าขึ้น “ครับ ใครน่ะ”
“สวัสดี นั่นหลิน เฟิงใช่ไหม” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากปลายสาย
“ครับ” หลิน เฟิงตอบอย่างเกียจคร้าน
“ฟังนะ หลิน เฟิง คุณพอจะมีเวลาไหม” เมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงที่แสดงความวิตกกังวล หลิน เฟิงจึงค่อยๆรับรู้ว่าอีกฝั่งเป็นใคร ซึ่งก็คือหัวหน้าของฝ่ายป้องกันประเทศอย่างจิว หยานั่นเอง
“ครับ แต่ว่า...” แต่ก่อนที่จะพูดจบเขาก็ถูกขัดขึ้น
“ถ้าคุณมีเวลาล่ะก็ ให้มาที่ฝ่ายป้องกันประเทศให้ด่วนที่สุดเลย เราพบว่ามีนินจาญี่ปุ่นจำนวนมากเริ่มลงมือกันแล้ว และไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร แล้วพวกนั้นก็มีจำนวนเยอะเกินไป ที่นี่เรามีคนไม่พอ ดังนั้นถ้าคุณมีเวลาก็มาที่นี่ เร็วๆด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันจะติดต่อสมาชิกท่านอื่นก่อน” เธอพูดโดยที่หลิน เฟิงยังไม่ทันยินยอมเลยด้วยซ้ำ เธอก็วางสายไปเสียแล้ว
หลิน เฟิงกดมือถือ จากนั้นก็ลุกขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา เขาขอให้หวัง ฉีนำผลไม้มาให้จำนวนมาก ก่อนจะเริ่มลงมือกิน
ผลไม้นี้สดมากเกือบจะเท่าๆกับผลที่เพิ่งจะเด็ดมาจากต้น โดยหลิน เฟิงจะเป็นคนเลือกผลไม้พวกนี้แล้วส่งไปทางไปรษณีย์ไปในที่ไกลๆ ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน
เพียงวันเดียว ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดกับผลไม้เลย สภาพมันยังดีและสดมาก
หลังจากผลไม้สองจานผ่านไป ร่างทั้งร่างของเขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที โดยที่กระบวนการนั้นใช้เวลาไม่ถึงห้านาที
ต่อมา หลิน เฟิงจึงบอกกับปาเต๋าว่าเขาอยากจะออกไปข้างนอกแล้ว ในตอนแรก หลิน เฟิงก็แค่อยากจะบอกเขา แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าปาเต๋าจะรีบเร่งมาหาเขาเลย
“นายจะพาฉันไปที่สมาคมที่นายบอกก็ได้ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันจะทำในสิ่งที่นายอยากให้ทำ” ปาเต๋าว่าพลางยิ้มๆ
เนื่องจากในทุกๆวันต้องอยู่แต่ในร้านอาหาร นอกเหนือจากตามหลิน เฟิงไปที่การแข่งขันต่อสู้เถื่อนใต้ดินนั้นแล้ว ก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก ปาเต๋าจึงต้องการออกไปเล่นอะไรข้างนอกบ้าง
“งั้น ฉันขอพูดก่อนนะ ว่านายจะต้องคอยอยู่ข้างหลังฉัน แล้วห้ามส่งเสียงอะไรออกมานะ และนายจะต้องสวมหน้ากากหรืออะไรบังหน้าไว้ ห้ามเปิดเผยตัวตน ไม่งั้นนายก็อยู่ที่นี่ไปซะ” หลิน เฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเฉียบ
“ก็ได้” แม้ปากจะว่าเห็นด้วย แต่จริงๆแล้วปาเต๋ากลับไม่ฟังในสิ่งที่หลิน เฟิงพูดเลย ซ้ำยังเอาหน้ากากออก ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก หลิน เฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่
ไม่นาน หลิน เฟิงกับพวกเขาอีกสองคนก็ได้ออกมาข้างนอกอย่างเร็วเพียงครึ่งนาที เมื่อนึกถึงคำพูดที่ดูเร่งรีบของจิว หยา จากที่รีบๆอยู่ เขาก็หยุดชะงักขึ้นมาในทันที
“เอ หลิน เฟิง ทำไมนายถึงหยุดอย่างงั้นล่ะ” นี่ก็มาไกลจนหยุดรถไม่ได้แล้วด้วย
ตอนที่ปาเต๋าหยุด เขาห่างจากหลิน เฟิงไปสิบเมตร และเมื่อเขาหันมาจ้องหลิน เฟิง เขาก็ได้เห็นว่าที่ตรงระหว่างคิ้วของหลิน เฟิงนั้นปรากฏร่างของมังกรดำออกมา
มันหายตัวไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ลมหายใจของมันจะทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เดิมที การสะสมพลังของมันนั้นอยู่ที่ระดับ SS ขั้นกลางจนใกล้จะข้ามไประดับ SS ขั้นกลางสูงสุดแล้ว แม้จะดูว่ามันไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนนัก สำหรับระดับ SS แถมทุกการก้าวไปอีกระดับก็ยากลำบากด้วย ดังนั้น การพัฒนาที่ดูเหมือนก้าวเล็กๆแบบนี้จึงเป็นการก้าวไปอีกขั้นที่ยิ่งใหญ่
ปาเต๋าสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เหลือล้นของมังกรดำและนั่นทำให้เขาหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ และโชคดีที่มังกรดำไม่ได้ดูจะทำร้ายอะไรเขาเลย
“มัวมองอะไรอยู่ เร็วเข้าเถอะ ถ้าวิ่งไปน่าจะใช้เวลามากกว่าสิบนาที คงช้าเกินไปแล้ว ขึ้นมาบนหลังมังกรดำซะ เร็วเข้า” หลิน เฟิงเร่ง
ปาเต๋าถึงกับชะงักไปในตอนแรก แต่ต่อมาก็พยักหน้า “เอ้า ไปก็ไป”
ต่อมา ปาเต๋าจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังมังกรดำ แล้วจากนั้นร่างขนาดใหญ่ของมังกรตัวดังกล่าวก็เหวี่ยงไปมา
โฮก!!!
มังกรดำคำราม ก่อนจะใช้กรงเล็บทั้งสองข้างแหวกช่องว่างเข้าไป
ในขณะที่มังกรดำปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หลิน เฟิงก็เข้ามาในสมาคมเป็นระยะทางมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรแล้ว
เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัย หลิน เฟิงจึงเอาร่างของมังกรดำใส่เข้าไปในคิ้วของตน ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในสมาคมดังกล่าว
ที่ประตู มีคนสองคนหยุดเขาไว้ โดยทั้งคู่คือผู้คุ้มกันที่ใช้พลังระดับ B โดยหนึ่งในนั้นได้กล่าวขึ้น “พวกคุณสองคนเป็นใคร บอกเรามา”
โดยที่ไม่ต้องกล่าวอะไร หลิน เฟิงหยิบเอาเหรียญโบราณประจำตัวออกมา และเมื่อทั้งสองคนนั้นเห็น ก็จึงอนุญาตให้เข้าไป
แม้หลิน เฟิงกับปาเต๋าจะสวมหน้ากากไว้ ก็ยังได้รับความเชื่อใจว่าเป็นสมาชิกของสมาคมป้องกันประเทศซึ่งเพียงแค่แสดงเหรียญประจำตัว ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่เข้ามาหยุดพวกเขาไว้อีก อีกอย่างคนธรรมดาๆก็คงไม่กล้ามาก่อเรื่องในที่แบบนี้แน่
ในที่แห่งนั้น มีผู้คนอยู่มากมายที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็สวมชุดคลุม บางคนสวมหน้ากาก ส่วนบางคนก็ไม่ได้ใส่อะไรแบบนั้น
“หลิน เฟิงหรือนี่” เมื่อจิว หยาเห็นพวกหลิน เฟิงเข้ามา เธอก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของหลิน เฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ส่วนหลิน เฟิงนั้นไม่ได้นึกประหลาดใจอะไร ถึงเขาจะสวมหน้ากาก จิว หยาก็ยังจำได้เพราะเธอเป็นถึงหัวหน้าของสมาคมป้องกันประเทศแห่งนี้ ไม่ใช่ธรรมดาๆอยู่แล้ว
0 ความคิดเห็น