RC:บทที่ 372 เข้าเป็นแนวป้องกันประเทศ
แม้หลิน เฟิงจะพูดออกมาน้อยคำและฟังดูเรื่อยๆ แต่ก็ได้สร้างความเชื่อใจให้กับลู่หยูและลั่ว เจียงเป็นอย่างมาก อีกทั้งจิว หยาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้หลิน เฟิงเจ็บช้ำนัก ยิ่งไปกว่านั้น แม้เธอจะไม่ได้รู้จักหลิน เฟิงดี แต่เธอก็รู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันไปไกลเกินกว่าที่หลิน เฟิงเล่าให้ฟังเสียอีก
แต่เธอในฐานะที่เป็นผู้บริหารในส่วนของสมาคมป้องกันอาณาจักร ทั้งพละกำลัง ความฉลาดทางอารมณ์นั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปได้
“คุณทำอะไรอยู่ตอนนี้คะ อยู่ตระกูลไหนหรือว่าเข้าร่วมกับกลุ่มผู้มีพลังที่ไหนคะ” หลังจากผ่านไปนาน เธอก็ได้เอ่ยขึ้น
หลิน เฟิงไม่เข้าใจความหมายที่จิว หยาจะสื่อนัก แต่ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ผมชินกับการอยู่แบบอิสระ และไม่ชอบมีพันธะผูกพัน ผมก็เลยไม่ได้เข้าร่วมกับองค์กรหรือพวกมีพลังคนไหน”
ในทีแรก จิว หยาดูมีท่าทีผิดหวัง แต่เมื่อต่อมาได้ยินว่าหลิน เฟิงไม่ได้เข้าร่วมกับองค์กรหรือกลุ่มผู้มีพลังใดๆแล้วนั้น เธอก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะพูดขึ้น “คุณหลิน เฟิงคะ ขอบคุณที่คุณช่วยเหลือสมาชิกร่วมชาติของเรา”
หลิน เฟิงก็ยังไม่เข้าใจ เมื่อเขามองไป เขาก็เห็นว่ามีบัตรใบหนึ่งอยู่ในมือของจิว หยา เป็นบัตรธนาคารเสียด้วย
“นี่มันหมายความว่ายังไงครับ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“นี่ก็คือสินน้ำใจเพื่อเป็นการขอบคุณและคำเชิญให้ท่านมาร่วมมือกับเรา สมาคมป้องกันประเทศชาติเป็นหน่วยงานพิเศษที่ขึ้นตรงกับรัฐเพื่อที่จะจัดการกับพวกคนนอกที่ตั้งใจจะบุกรุกประเทศจีนและก่อปัญหา พร้อมกับรางวัลที่จะให้ตามกฎที่ตั้งไว้ด้วย แล้วตอนนี้ ทางเราขอเชิญคุณให้เข้าร่วมกับสมาคมป้องกันประเทศชาติอย่างเป็นทางการค่ะ เพื่อปกป้องประเทศและคงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของประเทศจีนเรา”
“เอ่อ...” หลิน เฟิงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ ก่อนจะมองท่าทางเอาจริงของจิว หยา แถมในตอนนี้จะปฏิเสธไปก็นึกกระดากอายไม่ใช่น้อย
เดิมที เขาเองก็คิดจะกลับบ้านพรุ่งนี้เลย แต่ในตอนนี้ชักลังเลเสียแล้ว
จิว หยามองไปที่หลิน เฟิงชั่วครู่พลางมีท่าทีคิดอย่างลังเล แทนที่จะกังวล แล้วเธอก็รออย่างเงียบๆ
ถ้าหลิน เฟิงเห็นด้วยในทันที เธอก็คิดว่ามันก็น่าแปลกอยู่หรอก แต่ทว่าในตอนนี้ เธอกลับกลัวว่าหลิน เฟิงจะไม่ยินยอม
จิว หยาเป็นผู้บริหารของที่แห่งนี้ เธอมีพละกำลังที่แข็งแกร่งและยังอยู่ในระดับ S ขั้นสูงสุด แต่เธอไม่สามารถเห็นอะไรในตัวหลิน เฟิงได้ทะลุปรุโปร่งนักซึ่งนี่ก็แสดงว่าเขานั้นมีพลังที่อยู่เหนือกว่าที่เห็นตรงหน้า บางมีอาจจะแกร่งเสียยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก
จิว หยารู้ว่ามีผู้นำคนหนึ่งในบรรดานินจาสี่หรือห้าคน แม้ว่าหลิน เฟิงจะไม่เอ่ยถึงคนที่มีพลังระดับ S ในตอนที่เขาเล่าว่าได้ฆ่าคนทั้งหกคนนั้น แต่เธอก็รู้ได้ว่าในนั้นมีระดับ S อยู่หนึ่งคนแน่ๆ
แถมหลิน เฟิงยังสามารถช่วยสมาชิกระดับ A ในทีมชาวญี่ปุ่นที่ผู้นำระดับ S เป็นคนนำไว้ได้อีกด้วย พละกำลังจึงไม่ใช่กระจอกอย่างที่เห็นภายนอกเลย
หลังจากคิดไปชั่วครู่ หลิน เฟิงก็คิดว่าตนก็คงไม่มีอะไรทำแน่ถ้ากลับบ้านไป หรือจะให้พูดก็คือ ในทุกๆวันเขาคงกลับไปดูดอกไม้ พืชพรรณและต้นหญ้า แถมด้วยสัตว์วิญญาณอีก
แต่ทว่าในตอนนี้ การงานของหลิน เฟิงก็ทำในนามของเขา ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวลเลย ถึงกลับไปก็คงเสียเวลา
ในที่สุด หลิน เฟิงจึงตัดสินใจที่จะไม่กลับไป และจะอยู่ที่นี่สักพัก ปล่อยให้สัตว์วิญญาณและตัวเขาเองได้ฝึกฝนกันเอง
ไม่นาน หลิน เฟิงก็คิดออกก่อนจะกล่าวขึ้น “โอเค แต่ผมขอพูดก่อนนะว่า ไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งหรือบังคับผมได้หรอก เพราะถ้าไม่อย่างงั้น ผมก็ไม่เอา”
จิว หยายิ้มๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วง อย่างกองกำลังป้องกันประเทศอย่างเราน่ะหรือจะเหนี่ยวรั้งสมาชิกของเรา นี่เราทำงานเพื่อมาตุภูมิ เพื่อชาตินะ”
“เยี่ยมเลย” หลิน เฟิงว่าขึ้น
เพียงหลังจากที่หลิน เฟิงพูดจบ จิว หยาก็พูดขึ้นในทันใด “แล้วก็ รางวัลจากสมาคมของเราก็จะแบ่งตามระดับไป โดยทั่วไปจะเป็นระดับ B ระดับ A และระดับ S”
แต่ก่อนที่จิว หยาจะพูดจบ หลิน เฟิงก็กล่าวขึ้น “เข้าใจละ แต่ผมไม่ได้ขาดของอะไรพวกนั้นเลย”
เรื่องเงินน่ะหรือ หลิน เฟิงก็มีเยอะอยู่แล้ว ส่วนหินวิญญาณก็มีสะสมไว้อยู่แล้ว และในตอนนี้ หลิน เฟิงเองก็มีอยู่ตั้งสิบหกอันแล้วรวมถึงหินศักสิทธิ์อีกหนึ่งก้อน คนที่มีหินวิญญาณมากที่สุดในโลกก็คงจะเป็นหลิน เฟิงนั่นเอง
เมื่อได้ยินแบบนั้น พลันจิว หยาก็รู้สึกได้ว่าหลิน เฟิงอาจจะคิดว่ามีแต่เงินอย่างเดียว และจริงๆ พวกมีพลังเองก็มีความสนใจเรื่องเงินเพียงน้อยนิดด้วย
ฉะนั้นรางวัลต่างๆที่จะได้ต้องไม่ใช่แค่เงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหินวิญญาณด้วย วิชากังฟูและอย่างอื่นที่จำเป็นต่อผู้ใช้พลัง
จิว หยาจึงได้กล่าวขึ้น “นอกจากเงินเป็นรางวัลแล้ว ก็ยังมีหินวิญญาณด้วย อุปกรณ์วิญญาณ รวมถึงกระบวนวิชาและอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับเราๆ”
หลิน เฟิงรู้สึกสนใจเพียงเล็กน้อยกับสิ่งเหล่านี้
ไม่นาน จิว หยาก็ได้พาหลิน เฟิงไปลงทะเบียน แล้วเขาก็ลงทะเบียนกับสมาคมป้องกันประเทศได้เป็นผลสำเร็จ
“แล้วคุณมีสถานที่ให้พักหรือยังคะ เราจัดหาให้คุณได้นะคะ” จิว หยากล่าวขึ้น
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่บอกมาว่ามีงานอะไรให้ทำก็พอ นี่เบอร์ผมนะครับ” หลังจากทิ้งเบอร์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วนั้น เขาก็จากไป
ในตอนนี้ หลิน เฟิงจึงไปพักอยู่ที่ร้านอาหาร ที่ร้านโหยวหยี่ของหวังฮ่าวหมิง ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในย่านนั้น เป็นธุรกิจภายใต้ชื่อของหลิน เฟิงนั่นเอง จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ย่อมได้
หลังจากกลับไปแล้ว หลิน เฟิงจึงโทรหาหวัง ฮ่าวหมิง ก่อนจะบอกพวกเขาว่าตนจะยังไม่กลับไปในตอนนี้
เพราะเขาเองก็นึกเชื่อใจในหลายๆสิ่งอย่างกับของเล็กๆน้อยๆของเขาก่อนจะเอาไปให้หวัง หานด้วย
ในนั้นมีหินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่แค่ 16 ชิ้น รวมถึงร่างของสัตว์วิญญาณที่ได้มาจากที่สถานที่เร้นลับแห่งนั้นด้วย และยังมีอุปกรณ์ลึกลับชิ้นอื่นๆอีกหลายชิ้นที่ได้มาจากพวกคนญี่ปุ่นพวกนั้นอีก
เมื่อมีหินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การสั่งสมพลังของพวกเขาก็จะดีขึ้นไปจนถึงระดับที่เยี่ยมที่สุด และถ้ามีร่างของสัตว์วิญญาณเหล่านั้นรวมถึงอุปกรณ์ลึกลับของพวกญี่ปุ่นด้วยแล้ว เจ้าลิงก็จะได้แนวทางในการวิจัยอีก
ในขณะดียวกันนั้นเอง เอ้อโกวซือที่ยังคงอยู่ที่บริเวณชายแดนก็มาเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบถึงผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ขององุ่นหลิน เฟิง ทักษะลับในการต่อสู้ของบรรดาทหารผ่านศึกนั้นพัฒนาไปได้มากจนไปสะดุดตาผู้บังคับบัญชาของกองทัพเข้า และพวกเขาก็ต้องการมาเจอตัวหลิน เฟิงด้วย
แต่หลิน เฟิงปฏิเสธไป โดยกล่าวว่าไม่มีเวลา แต่จริงๆแล้ว เพราะเขาไม่มีความสามารถที่จะคุยกับพวกยศใหญ่นายโตแบบนั้นต่างหาก
พอมาถึงร้านโหยวหยี่ ก่อนที่หลิน เฟิงจะเข้าไป ก็มีใครบางคนเดินออกมาเจอเขาก่อนแล้ว
“ท่านผู้บริหาร”
ชายสวมแว่นคนหนึ่ง ผมตัดสั้น เอ่ยเบาๆด้วยความเคารพ
“นี่ ช่วยยกเลิกเที่ยวบินกลับของผมด้วย ผมคงจะอยู่ที่นี่อีกนานเลย” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นกับชายคนดังกล่าว
“ครับ ท่าน” แม้ชายคนนั้นจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ก่อนจะขานรับออกไป
ชายคนนี้เป็นผู้ช่วยของหวังฮ่าวหมิงนั่นเอง และยังเป็นผู้ใช้พลังระดับ A อีกด้วย เขาเป็นเจ้าของร้านสาขานั่นเอง
“แล้วก็นี่ หวัง ฉี คุณรู้จักสมาคมป้องกันประเทศมากแค่ไหนกัน” หลิน เฟิงถามขึ้น
ชายวัยกลางคนนามว่าหวัง ฉี เมื่อได้ยินหลิน เฟิงเอ่ยถึงสมาคมป้องกันประเทศ เขาก็อึ้งไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเราเองก็ไม่รู้จักสมาคมป้องกันประเทศดีนักหรอกนะครับ เพราะนี่เป็นองค์กรที่เพิ่งจะจัดตั้งขึ้นเมื่อสองปีก่อน ใช้เวลาไม่นานก็มีเหล่าคนรักชาติเก่งๆทั้งหลายมารวมตัวกัน เพื่อจัดการกับคนภายนอก”
“คนขององค์กรนี้นั้นแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวกันมาก อย่างน้อยชื่อเสียงของพวกเขาก็ดีมาช่วงหนึ่งแล้ว ว่าแต่ทำไมจู่ๆท่านถึงท่านถึงพูดถึงที่นี่ขึ้นมาหรือครับ หรือว่าวันนี้ท่านได้เจอกับคนที่นั่นหรืออะไรทำนองนั้นแล้วหรือครับ”
0 ความคิดเห็น