RC:บทที่ 340 ตามติดไม่เลิก

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 340 ตามติดไม่เลิก


อาคารที่ว่านั้นสูงขึ้นไปเป็นพันๆเมตรดูราวกับเป็นปราสาทมืด แต่ถ้าจ้องมองเข้าไปใกล้ๆ เราก็จะเห็นสิ่งที่ค้ำจุนตัวอาคารนั้นเป็นโครงกระดูกมากมาย ซึ่งน่ากลัวเอามากๆ


มีทั้งโครงกระดูกมนุษย์ สัตว์ต่างๆหรือแม้กระทั่งสัตว์วิญญาณอีกหลายชนิด ฯลฯ 


กระดูกรวมถึงโครงกระดูกเหล่านี้ล้วนถูกหุ้มและถูกกักไว้ในต้นองุ่นปีศาจสีดำที่ก่อตัวเป็นตัวปราสาทขนาดใหญ่


รูปแบบแปลกๆเช่นนี้ได้รับการวาดขึ้นในทุกฝั่งของตัวปราสาท รูปแบบของมันทั้งใหญ่และลึกล้ำ ดูหม่นๆและลึกลับซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้ยาก


ไม่ไกลจากกันนัก เงาๆหนึ่งก็ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ พลางมองลงมายังปราสาทดังกล่าวที่อยู่ข้างล่างด้วยสายตาที่เย็นชา


ร่างสี่ร่างที่ใหญ่โตล้อมรอบตัวเขาไว้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ


ชายคนดังกล่าวมองไปที่ปราสาทหลังสีดำนั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนพวกนั้นมาถึงที่นี่กันแล้วงั้นรึ”


“พวกเรามาถึงแล้ว แต่พวกเขายังขอรับ พวกเราทุกตัวต่างได้รับการอันเชิญมาตามแต่สัญลักษณ์ของแต่ละตัว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานคนพวกนั้นคงจะมาถึงกันขอรับ” ร่างสีเขียวจากในบรรดาร่างใหญ่ทั้งสี่ตัวเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


“อย่างงั้นก็ดี ข้าเองก็หวังว่าครั้งนี้ เราจะสามารถกวาดล้างความชั่วร้ายให้สิ้นซากไปเสียที ไม่อย่างงั้นล่ะ ได้เกิดปัญหาใหญ่แน่” ร่างโปร่งใสนั้นรำพึงกับตนเอง


เมื่อหลิน เฟิงและพวกที่เหลือกำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอยู่นั้น ทั้งทีมในตอนนี้ก็ดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกหลังจากที่ได้พระทั้งสองรูปมาร่วมทางด้วย ไม่ดูเหงาๆเหมือนก่อนหน้านี้


ก่อนหน้านี้ มีหลิน เฟิง ตู๋ กังกับปาเต๋าแค่สามคน แถมทั้งตู๋ กังกับปาเต๋าก็เป็นคนเงียบๆด้วยกันทั้งคู่ พูดกันอยู่แค่ไม่กี่คำ แล้วก็เงียบมาตลอดทาง


ทว่าในตอนนี้ เมื่อเดินทางมากับพระทั้งสองรูปแล้วนั้น แม้จะต้องเร่งฝีเท้ามากขนาดไหน แต่พวกก็ดูสุขใจที่ได้พูดคุยกันไปตลอดทาง


แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เดินกันมาเป็นเวลานาน หลิน เฟิงก็มักจะรู้สึกอึดอัดอยู่ตลอดซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลก เหมือนกับว่าเขาและคนอื่นๆกำลังถูกอะไรบางอย่างจับจ้องอยู่


หลิน เฟิงรู้ตัวว่าตัวเองมักไวกับเรื่องพวกนี้และไม่ใช่ว่าจู่ๆจะโผล่มาแบบไม่มีเหตุไม่มีผลด้วย แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าสิ่งผิดปกตินั้นคืออะไร


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ โยมหลิน เฟิง อาตมาเห็นสีหน้าของเจ้าดูยุ่งๆแถมยังหม่นเศร้าด้วย หน้าตาที่ดูดีของเจ้าบอกแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่า ฮึ” ไร้กังวลถามขึ้น


เมื่อเห็นว่าไร้กังวลถามมาแบบนั้น หลิน เฟิงจึงสารภาพกับเขาไปตรงๆ “ผมรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าเหมือนพวกเรากำลังโดนใครจ้องอยู่ แล้วความรู้สึกนี้ก็แรงขึ้นเรื่อยๆด้วย เหมือนพวกนั้นกำลังเข้ามาใกล้เราแล้ว”


“หา อย่างงั้นรึ ขออาตมาดูหน่อยนะ” เมื่อไร้กังวลพูดจบ เขาก็หลับตาลง ก่อนที่หูจะกระดิกขึ้นมาในทันที แล้วคลื่นแสงลำหนึ่งก็ได้แผ่กระจายออกไป


เมื่อเห็นสิ่งที่ไร้กังวลได้ทำ หลิน เฟิงก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่จนอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ความสามารถแบบไหนกันนี่”


“มันคือพลังทิพยโสตญาณน่ะ เป็นหนึ่งในหกพระสูตรขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พลังนี้จะทำให้เราได้ยินการเคลื่อนไหวทั้งหมดภายในหนึ่งกิโลเมตร แม้แต่เสียงแมลงขยับปีกหรือเสียงนกก็สามารถแยกออกได้” นักบวชผู้อาวุโสน้อยสุดที่อยู่ใกล้ๆกันกล่าวขึ้น


“มหัศจรรย์แบบนั้นเลยเชียว” หลิน เฟิงอึ้งไป


จนต่อมา จู่ๆร่างของไร้กังวลก็สั่นไปทั้งตัว จากนั้นเขาจึงกล่าวกับทุกคนว่า “เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ เรากำลังถูกคนมากมายจ้องอยู่ มากกว่า 30 คนเลยด้วย ประมาณหนึ่งกิโลเมตรข้างหลังพวกเรานี่เอง และดูจะรีบมาหาเราด้วย แถมในนั้นก็มีแต่พวกที่มีลมหายใจแข็งแกร่งทั้งนั้น”


 “มากกว่าสามสิบคนเลยงั้นหรือเนี่ย เยอะมากเลย งั้นเราเผ่นกันเถอะ” ทันทีที่หลิน เฟิงได้ยินว่ามีมากกว่า 30 คนมาจากข้างหลัง แถมที่มาก็ล้วนแต่เป็นผู้มีลมหายใจอันแข็งแกร่งด้วยแล้วนั้น เขาจึงต้องรีบไปโดยด่วนโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น


หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างก็เดินตามกันไป โดยทั้งห้าคนเลี้ยวไปทางซ้าย แล้วก็ไปทางขวา ก่อนจะมุ่งตรงไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะได้ทิ้งห่างคนเบื้องหลังไป แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะไปตรงไหน กลุ่มข้างหลังก็ดูเหมือนจะรู้ถึงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่และตามมาอย่างไวเลยด้วย


“ไม่นะ ทำไมพวกเขาถึงต้องตามแต่เรามาตลอดด้วยล่ะ” หลิน เฟิงรู้สึกสับสนเอามากๆ


ถ้าจะให้พูดจริงๆก็เป็นเรื่องบังเอิญถึงสองครั้งแล้ว แต่หลิน เฟิงกับพวกที่เหลือก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง และคนที่ตามไปด้วยก็ต้องทำเหมือนกันเพื่อตามให้ทัน


ห่างจากหลิน เฟิงออกไปไกลหลายพันไมล์  คนกลุ่มหนึ่งนั้นกำลังตามล่าพวกหลิน เฟิงอย่างกระวนกระวาย หนึ่งในนั้นนำหน้าไปทางทิศตะวันตก ในขณะที่คนอื่นๆตามไปอย่างกระชั้นชิด


“ตงฟาง เชาหยาง เทคนิคสะกดรอยของนายนี่มันได้ผลจริงหรือเปล่าเนี่ย ผ่านไปตั้งนาน ยังไม่เห็นใครโผล่หัวมาแม้แต่เงาเลย” หลังจากออกตามล่ากันมานาน ชายคนหนึ่งก็ตะโกนลั่น


“ซือหม่า ยี่ชาง ถ้านายมีวิธีล่ะก็ นายก็ไปล่าเองเลย แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เงียบๆไป แล้วอย่ามากวนฉัน” ตงฟาง เชาหยางกล่าวขึ้นอย่างหมดความอดทน


“นี่แก...” ซือหม่า ยี่ชางเริ่มโกรธขึ้นมา แต่ก็ถูกซวนหยวน ยู่หลงที่อยู่ใกล้กันดึงเอาไว้


ซวนหยวน ยู่หลงส่ายหัวไปมา ก่อนจะกล่าวกับเขา “ช่างเถอะน่า ตอนนี้การหาผนึกพยัคฆ์ขาวนั่นก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วนะ หลังจากได้ผนึกนั่นมา แล้วค่อยลงมือจัดการเจ้านี่ซะ มันคงไม่ช้าไปหรอก”


“ฮึ่ม” ซือหม่า ยี่ชางพ่นลมหายใจอันเย็นยะเยือกออกมาก่อนจะหยุดพูดไป


เมื่อเห็นแบบนั้น ซวนหยวน ยู่หลงจึงรีบเดินไป เพียงไม่กี่ก้าวก็ไปถึงตัวตงฟาง เชาหยาง ก่อนจะถามขึ้นพร้อมกับที่เดินไปด้วย


“น้องเชาหยาง แล้วน้องสัมผัสได้ไหมว่าพวกมันอยู่กันหรือเปล่า แล้วไกลแค่ไหน” ซวนหยวน ยู่หลงถามขึ้น


เมื่อเห็นซวนหยวน ยู่หลงพูดขึ้นมาแบบนั้น ตงฟาง ชัวหยางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา ก่อนจะตอบออกไป “ผมรู้สึกได้ ประมาณหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้านี้เอง แต่เหมือนพวกนั้นน่าจะสัมผัสถึงเราได้เหมือนกัน เพราะไม่ใช่แค่เปลี่ยนทางที่เดินกับตำแหน่งไปเท่านั้น แต่ยังจับที่อยู่ตอนนี้ได้ยากด้วย”


“จับที่ที่อยู่ตอนนี้ได้ยากงั้นหรือ นี่นายไม่รู้หรือว่ากำลังโกหกอยู่กันแน่ นี่ก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ยังไม่เจอแม้แต่สักเส้นขนเลย” ซือหม่า ยี่ชางโพล่งอย่างไม่พอใจ


“หึ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ดูเอาแล้วกัน นี่คือผงวิเศษที่ฉันได้โรยไปบนตัวพวกนั้นตอนที่สู้กัน ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะหมื่นเมตรล่ะก็ ฉันก็ยังสัมผัสได้อยู่ แล้วตอนนี้ ฉันก็สัมผัสถึงตำแหน่งของพวกเขาได้แล้วด้วย ตราบใดที่เราเร่งมือกัน เราก็จะตามพวกเขาทันได้”


เพื่อให้พวกนั้นเชื่อ ตงฟาง เชาหยางจึงได้หยิบผงลักษณะแปลกๆออกมาก่อนจะพูดขึ้น


เมื่อผู้คนเห็นดังนั้น ก็เลยเชื่อ จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าตามหลิน เฟิงไป


ตำแหน่งที่หลิน เฟิงเดินอยู่นั้น จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าข้างหลังเขานั้นกำลังเดินมาอย่างเร็วเลย แล้วเขาก็พูดขึ้น “ไม่นะ พวกนั้นเร่งฝีเท้าเข้ามาแล้ว เร่งมือกันหน่อยพวกเรา”


เมื่อกล่าวจบ ทั้งหมดจึงรีบเดินไปอย่างไว


ส่วนตงฟาง เชาหยางก็รีบตามพวกไป ในขณะที่ยังสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว และเขาก็ได้กล่าวขึ้น “พวกมันรีบเดินกันแล้ว”


ซวนหยวน ยู่หลงขมวดคิ้วก่อนจะว่าขึ้น การจะไล่ตามไปตลอดทางแบบนี้มันไม่ใช่นะ เรามีคนตั้งเยอะ ส่วนพวกนั้นมีน้อยกว่าอีก ไม่ว่ายังไงก็ต้องเร็วกว่าอยู่แล้ว เอาอย่างงี้ เดี๋ยวพวกเราสี่คนนำไปก่อน ส่วนคนอื่นๆค่อยตามมาสมทบทีหลังก็แล้วกัน น้องว่ายังไงล่ะ แผนแบบนี้”


“อ่า เป็นความคิดที่ดีเลยนะ ให้พวกเราสี่คนไปก่อน แล้วคนอื่นก็ตามไปทีหลัง” ซือหม่า ยี่ชางตอบด้วย 


“นี่...” มีเพียงแค่ฮวงฝู เทียนหนานเท่านั้นที่ดูลังเลเพราะไม่รู้ว่าตนกำลังงคิดอะไรอยู่


“อย่ามัวลังเลน่า เดี๋ยวพวกมันหนีไปนะ” ซวนหยวน ยู่หลงเร่งเร้า


“ก็ได้” ฮวงฝู เทียนหนานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมในที่สุด


จากนั้นทั้งสี่คนก็รีบไปที่หลิน เฟิง ทิ้งห่างคนข้างหลังที่มีมากกว่า 30 คนที่ค่อยๆตามกันมา


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น