RC:บทที่ 339 นักบวชผู้ชื่นชอบการกิน
ไม่ว่าพูดไปแล้ว ศิษย์ผู้น้องจะเห็นด้วยกับเขาหรือไม่นั้น เขาก็ได้เดินนำเพื่อตามกลิ่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
อึก!
ศิษย์ผู้น้องที่เดินตามหลังมานั้นกลืนน้ำลายดังอึก แม้จะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ภูกต้อง แต่ก็อดจะตามไปด้วยไม่ได้
ทั้งสองต่างเหาะข้ามมาระหว่างต้นหญ้ากับต้นไม้ด้วยความเร็วสูงสุด และยิ่งเหาะไปใกล้เท่าไหร่ กลิ่นไก่ย่างจากข้างหน้านั่นก็ยิ่งโชยมามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงกลิ่นไวน์เข้มข้น หอมหวน เคล้าเสียงกลืนน้ำลายไปด้วย
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก และไม่นาน กลิ่นไวน์อันเข้มข้นก็ลอยมาแตะจมูก ทั้งไก่ย่างและแสงไฟจากข้างหน้า พวกเขาจึงเหาะตรงไปยังที่นั่นอย่างไม่รีรอ
เมื่อพวกเขาเหาะไปถึง หลิน เฟิงก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างก่อนจะหันขวับไปพร้อมกับว่าเสียงลั่น “ใครน่ะ”
“อมิตตาพุทธ”
นักบวชผู้อาวุโสกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ ทั้งทุ้มต่ำและน่าศรัทธา ราวกับจะทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้โดยพลัน
“เจริญพร ญาติโยม ศิษย์ผู้น้องของอาตมากับตัวอาตมาเองนั้นเดินทางมาทั้งวันแล้ว พวกเราเหนื่อยกันมากเลย ขออาตมาทั้งสองนอนกับโยมทั้งสาม และขออาหารฉันบางส่วนด้วยได้ไหม” นักบวชผู้สูงวัยที่สุดที่อยู่ตรงหน้า ยังไม่ทันได้ลงมาถึงพื้นเลย เสียงพูดยาวเฟื้อยนั้นก็ดังมาตลอดทาง
เมื่อได้ยินเสียงนั้น หลิน เฟิงก็รู้สึกมันคุ้นๆมากจนต้องคิด จากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้น
“พวกท่านทั้งสองคือไร้กังวลและไร้เมตตาใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ พวกโยมรู้จักอาตมาทั้งสองคนด้วยอย่างงั้นหรือ” เสียงที่อยู่ไกลออกไปนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลิน เฟิงได้ยินดังขึ้นมาเรื่อยๆและมั่นใจด้วยว่าเคยเจอนักบวชทั้งสองที่ตลาดมืดของผู้วิเศษอีกด้วย
จนต่อมา ร่างทั้งสองก็ค่อยๆลอยลงมาจากบนฟ้าก่อนจะลงมาที่พื้นมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ในตอนนี้ หลิน เฟิง ตู๋ กังและปาเต๋า ทั้งสามคนล้วนแต่ถือไก่ย่างไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งถือไวน์กลิ่นหอมแสนอร่อย และในตอนนั้นเอง ทั้งสามคนก็ได้จัดการกินไก่ย่างนั้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตามด้วยไวน์ที่มีเหลืออยู่อีกเพียงเล็กน้อย
พระทั้งสองรูปลงมาที่พื้นกันทีละรูป ก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ในมือของหลิน เฟิง ตัวกู่ลู่เองก็ถึงกับกลืนน้ำลาย
เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากฟ้าคือพระสองรูปที่หลิน เฟิงเดาไว้แล้วว่าเป็นไร้กังวลและไร้เมตตานั่นเอง พวกเขาเคยเจอกันที่ตลาดมืดของผู้ใช้พลังมาก่อน
ในตอนนั้น หลิน เฟิงก็ได้มอบลูกประคำแปลกๆให้กับพวกเขาไป เพราะนักบวชผู้สูงวัยกว่านั้นได้เข้าช่วยหลิน เฟิงจนสามารถเอาชนะตระกูลฮวงฝูกับตระกูลตงฟางมาได้
หลังจากไร้กังวลกับไร้เมตตาลงมาที่พื้นแล้วนั้น พวกเขาก็ได้เห็นหลิน เฟิงกับตู๋ กัง พวกเขาก็จำขึ้นมาได้ทันที ก่อนจะพูดขึ้น “คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพี่น้องหลิน ไม่เจอกันนานเลย"
นักบวชผู้อาวุโสสูงสุดหรือไร้กังวลเดินตรงไปที่หลิน เฟิง พลางจ้องคนทั้งสามไปด้วย พลางเอามือทาบบนอก ก่อนจะก้มหัวให้กับหลิน เฟิง
“พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย นั่งเถอะครับ ไม่เป็นไร” หลิน เฟิงกล่าวกับทั้งสอง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิน เฟิงก็ส่งสัญญาณไปที่ตู๋กังกับปาเต๋า ก่อนที่ทั้งคู่จะลุกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วให้ไร้กังวลกับไร้เมตตานั่งใกล้ๆกับกองไฟ
พวกเขาเองก็ไม่ใช่คนสุภาพกันนัก ทั้งหมดต่างนั่งกันอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่พูดอะไร
นักบวชทั้งสองนั่นอยู่แบบนั้น พลางจ้องไก่ย่างและไวน์ในมือของทั้งสามคน พลางกลืนน้ำลาย
“ท่านนักบวชทั้งสอง ขอโทษนะครับ ผมเอาอาหารบางส่วนที่มีกลิ่นเนื้อหอมๆมาให้ แล้วก็ผลไม้รวมถึงองุ่นด้วย กินได้เลยครับ” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นอย่างอายๆ
หลิน เฟิงคิดว่าพระทั้งสองไม่กินเนื้อ เขาเลยไม่เอาไวน์กับไก่ย่างให้
แต่ที่เขาเห็นก็คือทั้งสองจ้องไปที่ไก่ย่างและไวน์ในมือของหลิน เฟิงอย่างจริงจัง อีกทั้งยังไม่ตอบคำถามของหลิน เฟิงอีกด้วยซึ่งทำเอาเขาอายไปครู่หนึ่งเลย
นอกจากนี้ ไร้กังวลในตอนนี้ก็เริ่มง่วงแล้วด้วย เขาดูกระตือรือร้นก็จริงแต่ก็ซ่อนได้เนียนมากซึ่งนั่นทำเอาหลิน เฟิงไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี
คนที่เขาบวชเป็นพระก็น่าจะละเนื้อกับเครื่องดื่มมึนเมากันนี่ แล้วนี่ทำไมพระสองรูปถึงดูจ้องมาที่พวกเขาจริงจังแบบนั้นล่ะ
“อะแฮ่ม จริงๆ ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว ถ้ามีแต่เนื้อกับปลา ผลไม้ก็ดี พวกโยมก็กินบ้างสิ” เมื่อหลิน เฟิงมองไปที่ไร้กังวล ไร้กังวลก็กระแอมไอออกมาสองครั้ง ก่อนจะกล่าวแบบนั้นออกไป
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลิน เฟิงก็เข้าใจในทันทีถึงความหมายที่ไร้กังวลนั้นสื่อออกมา ก่อนจะมองเขายิ้มๆ แล้วส่งไหบรรจุไวน์หนึ่งไหพร้อมกับไก่ย่างตัวหนึ่งไปให้ทั้งสองรูปตามลำดับ
“อะแฮ่มๆ ผลไม้ก็ไม่เลวเลย แต่เดี๋ยวไว้กินทีหลังก็แล้วกัน” พระรูปดังกล่าวว่าขึ้น ก่อนจะอ้าปากกิน ทั้งไวน์กับเนื้อไปด้วยกันราวกับว่าชำนาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ส่วนศิษย์ผู้น้องที่นั่งอยู่ใกล้กันนั้นก็มองไปที่นักบวชผู้ไร้กังวล อีกทั้งยังรู้สึกลังเลไปชั่วครู่ ก่อนจะลงมือกินอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้เลยว่านี่ไม่อยากกินหรือเปล่า แต่ทว่าท่าทางการกินกับความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนนั้นดูจะมากกว่าตู๋ กังกับปาเต๋าเสียอีก แวบแรกที่เห็น นักบวชพวกนี้ดูจะเป็นคนที่กินเก่งพอสมควร
ในขณะที่กินกันอยู่นั้นเอง คนทั้งห้าคนก็ได้เริ่มพูดคุยกัน และบางทีนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงได้ดื่มไวน์กัน พวกเขาคุยกันอย่างเปิดอก
ไม่รู้เลยว่านี่ไม่อยากพูดด้วยหรือเปล่า แต่เมื่อเริ่มพูด หลิน เฟิงก็เห็นว่าพระทั้งสองรูปนี้ดูไม่ทำตามกฎและข้อปฏิบัติของสมณเพศเอาเสียเลย หรือถ้าจะให้พูดก็คือ เมื่อไวน์กับเนื้อผ่านคอเข้าไปแล้ว ท่านนักบวชทั้งสองก็ลืมพระพุทธเจ้าไปเลย
หลังจากกินเสียเต็มคราบ ทั้งห้าคนก็เมาได้ที่เลยทีเดียว แต่หลิน เฟิงนั้นไม่เป็นอะไรมากนัก สติสัมปชัญญะของเขายังมีอยู่
หลิน เฟิงนับเลข แต่ละคนกินไก่ย่างไปตัวหนึ่งก่อนจะดื่มไปสองยกด้วยไวน์ชั้นดีจำนวนสามขวด และไวน์นั้นก็ไม่ใช่ไวน์ธรรมดาเลย อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมไวน์อีกด้วยภายใต้ชื่อของหลิน เฟิง โดยกลั่นมาจากผลไม้มหัศจรรย์ของหลิน เฟิงนั่นเอง ซึ่งเข้มข้นมาก
คนทั่วไปนั้น ดื่มไปแค่สองสามหยดก็เมาแอ๋แล้ว
แต่คนพวกนี้เล่นดวดไปตั้งสองสามไห จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าจะเมา
จนวันต่อมา เมื่อเวลาเที่ยง พวกเขาทุกคนก็ตื่นขึ้น
เมื่อไร้กังวลกับไร้เมตตาตื่นขึ้น พวกเขาก็พูดขึ้นเสียงดังด้วยความสำนึกผิด แต่หลิน เฟิงรู้สึกเหมือนว่าทั้งสองคนกำลังหัวเราะเสียมากกว่า คงรู้ตัวกันแหละว่าเมื่อวานจัดหนักกันไปมากทั้งกินทั้งดื่ม แล้วยังคุยกันโขมงโฉงเฉงอีกด้วย
“ท่านนักบวชทั้งสองครับ แล้วนี่ท่านจะไปไหนกันต่อ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“อาตมาเองก็ยังไม่รู้เลย คงไปตามทางเรื่อยๆ แล้วโยมล่ะ” พระผู้ปล่อยเอ่ยถามต่อ
หลิน เฟิงคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “เรากำลังจะลงไปทางตะวันออกครับ ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็ไปด้วยกันเถอะครับ”
“ดีเลย”
ส่วนไร้กังวลไม่ตอบอะไร ในขณะที่ศิษย์ผู้น้องที่อยู่ข้างหลังเขานั้นกลับเออออห่อหมกไปด้วยอย่างยินดีเลย ในขณะนั้น เขาก็เห็นว่าไร้กังวลหันมาจ้องเขาแบบแปลกๆ
“เอาสิ ไปด้วยกัน ยังไงก็ยังมีไก่ย่างกับไวน์รสดีอีกนี่” ในที่สุด ไร้กังวลก็ได้พูดขึ้น
“แล้วตราบใดที่เรายังไปด้วยกัน มื้อทุกมื้อก็ไม่มีวันอด” หลิน เฟิงกล่าวอย่างสุขใจ
แต่ทว่านักบวชทั้งเองก็ไม่ใช่เล่นๆเลย พละกำลังของไร้กังวลกับผู้ไร้เมตตานั้นไม่สามารถประเมินได้เลย พวกเขาต่างมีพลังของพุทธคุณแห่งลัทธิเต๋า อย่างน้อย พวกเขาก็ไม่นึกกลัวเมื่อเจอคนตระกูลตงฟางหรือตระกูลฮวงฝูเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มเดินทางต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้คนที่มาจากทางเหนือ ทางใต้และทางตะวันออกก็กำลังเดินทางมาจากทิศทางที่ตรงข้ามกัน
ที่ใจกลางของภูเขาทั้งสี่ ก็ปรากฏตึกสูงตระหง่านขึ้นมา ตึกทั้งตึกนั้นเป็นสีเทาดำ ล้อมรอบไปด้วยแก๊สสีน้ำตาล หม่นมัวและน่ากลัว
0 ความคิดเห็น