RC:บทที่ 338 อาหารของหลิน เฟิง

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 338 อาหารของหลิน เฟิง


 “พูดออกมาได้ยังไงว่าพวกเราคือสมาชิกจากตระกูลสิบตระกูลเดียวกัน ฉันคิดว่าถ้านายยังยืนกรานแบบนี้อยู่ล่ะก็ พวกเราจะเอาคืนนายจนตายแน่” พลันเสียงแห่งความเด็ดเดี่ยวก็ได้ดังขึ้น


คนๆนี้ก็คือฮวงฝู เทียนหนานซึ่งพูดอยู่ไกลๆ เขามีดวงตาที่แน่วแน่และไม่กลัวตาย


ฮวงฝู เทียนหนานเป็นคนแบบไหนกันนะ จะบอกว่าเขาเป็นถึงผู้นำของตระกูลทั้งสิบอย่างงั้นน่ะหรือ  พละกำลังกับความสามารถของเขาไม่ได้แย่ไปกว่าพลังที่เขามีเลย หรืออาจจะแย่กว่าก็ได้


หรือความโชคร้ายก็คงจะเป็นแค่ตอนที่พวกเขาเข้าจัดการพวกนี้ จนกลายมาเป็นตัวร้าย


ไม่อย่างงั้นแล้ว คนพวกนี้คงไม่กล้ามาพูดกับเขาแบบนี้หรอก


ดูเหมือนว่าคนอื่นๆก็จะเป็นแบบฮวงฝู เทียนหนานเสียด้วย ที่จู่ๆก็มองความตายเป็นที่ไป


แม้แต่ตงฟาง เชาหยางเองก็เช่นกัน แล้วทันใดนั้นเอง ทั้งเจ็ดคนก็มีความรู้สึกที่ได้เห็นความตายราวกับว่าเป็นที่ไปของพวกตน ไม่ได้นึกกลัวเลยว่าถ้าหนักสุดอาจจะต้องตาย


ภาพตรงหน้าทำเอาทุกคนในกลุ่มถึงกับประหลาดใจ ซวนหยวน ยู่หลงก็โผล่ออกมา พลางตบไหล่ซือหม่า ยี่ชาง ก่อนจะบอกไม่ให้เขาไม่สบายใจ แล้วจากนั้นก็หันไปหาตงฟาง เชาหยางและฮวงฝู เทียนหนานก็ได้เอ่ยขึ้น


“น้องเทียนหนาน น้องเชาหยาง อย่าไปฟังที่ยี่ชางพูดเลยนะ เขาก็แค่อยากมาหาสมบัติน่ะ แล้วเราก็เป็นหุ้นส่วนกัน แถมคนของนายก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้วย กักเก็บพลังกันก่อนเถอะนะ มาเอายาอายุวัฒนะนี้ไปให้ตระกูลฮวงฝูกับตระกูลตงฟางทีสิ” ชายคนดังกล่าวว่าขึ้น


ฮวงฝู เทียนหนานมองไปยังภาพตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นในใจ “ซวนหยวน ยู่หลง นายก็ยังดูตลบตะแลงอยู่บ้างเหมือนกันนะ ใครจะไม่รู้ล่ะว่านายอยากจะหลอกใช้เราด้วยหรือเปล่า”


ชายทั้งสองนั้นมาจากตระกูลซือหม่าและตระกูลซวนหยวนที่เพิ่งโจมตีตระกูลตงฟางกับตระกูลฮวงฝูตรงบริเวณถ้ำไป่หู


ทั้งตระกูลฮวงฝูและตระกูลตงฟางต่างเกือบจะถูกพวกเขาสังหาร แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการสั่งสมพลังขั้นสูงของฮวงฝู เทียนหนานและตงฟาง เชาหยาง เขาจึงทำให้สองตระกูลที่เข้ามาโจมตีแตกทัพออกไปอย่างหนัก


ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงยินยอมร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อไปเอาผนึกพยัคฆ์ขาวคืนมา แล้วจากนั้นค่อยไปหาสมบัติร่วมกัน


ฮวงฝู เทียนหนานกับตงฟาง เชาหยางจำต้องยินยอม เพราะถ้าพวกเขาตาย ก็ต้องเป็นตระกูลใดตระกูลหนึ่ง


ตระกูลซือหม่ากับตระกูลซวนหยวนไม่ได้ต้องการอยากจะสู้กับพวกเขานัก ยิ่งไปกว่านั้น ฮวงฝู เทียนหนานกับตงฟาง เชาหยางนั้นต่างก็เป็นผู้นำที่มีระดับเดียวกันทั้งคู่ ถ้าพวกเขาจะลงมือฆ่าคนทั้งหมด ความเสียหายที่ตามมานั้นเป็นราคาที่สูงลิ่ว


แต่สำหรับตระกูลอื่นๆนั้นกลับมีราคาถูกกว่านั้น เมื่อถึงเวลา เสียได้ก็ต้องเสีย ดังนั้นร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายนี่ล่ะ ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆ และยังมีคนช่วยอีกหลายคนด้วย จริงไหม


แต่อย่างไรก็ตาม ฮวงฝู เทียนหนานนั้นเป็นคนชอบเก็บอะไรไว้ในใจ แม้เขาจะเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างกระจ่างชัด แต่เขาก็ไม่พูดหรือเผยมันออกมา


“ขอบคุณนะครับ พี่ยู่หลง” ฮวงฝู เทียนหนานเอ่ยขึ้น


จากนั้น พวกเขาจึงหยุดพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลัง


ส่วนหลิน เฟิงกับที่พวกที่นั่งมาอีกสองคนที่หนีมาได้ไกลแล้วนั้น ก็บินอยู่สักพัก พวกเขาบินมาครึ่งชั่วโมงแล้วก็ต้องหยุด เพราะมังกรแสงใช้พละกำลังในการบินทั้งหมดไปแล้ว พลังวิญญาณก็ใกล้จะหมดเต็มที


 “ฮู่ ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะตามมาไม่ทันแล้วล่ะ แถมพวกเขายังดูเหนื่อยกันมากเลย แล้วนี่พวกเขาเป็นใครกันน่ะ” หลังจากที่ทั้งสามลงมากันแล้วนั้น ตู๋ กังก็ถามขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะล้มตัวนอนใต้ต้นไม้ใหญ่


“พวกนั้นมาจากตระกูลฮวงฝูกับตระกูลตงฟาง แล้วก็เป็นคนที่สังหารพยัคฆ์​ขาวที่อยู่ในภูเขาด้วย แล้วฉันก็ไปเอาผนึกของพยัคฆ์​ขาวมา พวกนั้นก็เลยตามฆ่าฉันมาตลอดทางนี่แหละ”


หลิน เฟิงเล่ารายละเอียดให้ตู๋กังกับปาเต๋าฟัง เพื่อไม่อยากให้พวกเขามีข้อสงสัยอะไรกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต่างลงเรือลำเดียวกันแล้วด้วย


 “เข้าใจละ นายชิงผนึกพยัคฆ์​ขาวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขานี่เอง ถ้าเขาจะมาตามล่าเพื่อฆ่านายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วนั่นทำไมถึงเหลือคนหกหรือเจ็ดคนเองล่ะ” ปาเต๋าถามขึ้น


“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จำได้ว่าตอนที่รีบออกมาจากถ้ำน่ะ มันมีกลุ่มคนที่กำลังตั้งท่าสู้กันอยู่ข้างนอก ก็คงจะเป็นพวกนั้นล่ะ” หลิน เฟิงว่าขึ้น


“เฮ้ นายจะไปคิดอะไรมากกันเล่า ถ้าสู้ได้ก็สู้ไป แต่ถ้าสู้ไม่ไหวก็หนีไปซะ แล้วนี่ ทั้งวันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ” ตู๋ กังกล่าวขึ้น พลางหยิบอาหารแห้งออกมาจากแหวนอวกาศเพื่อจะลงมือกิน


เมื่อเอาอาหารออกมาแล้วก็เริ่มลงมือกิน


เมื่อเห็นอาหารที่อยู่ในมือของตู๋ กังกับปาเต๋าแล้วนั้น จู่ๆหลิน เฟิงก็ขอให้พวกเขาทิ้งอาหารพวกนั้นไปซะ


แล้วเขาก็จะได้หยิบของดีๆจากในแหวนนั้นออกมาเลย


จากนั้นหลิน เฟิงจึงให้พวกเขาก่อไฟ แล้วเขาก็หยิบของดีๆที่เขามีออกมาจากในแหวนวงนั้น


เป็นไก่ฟีนิกส์ย่างสามตัว ขวดไวน์อีกสามขวด ผลไม้อีกเยอะแยะที่หลิน เฟิงเตรียมมาด้วยความช่วยเหลือของหวัง ฮ่าวหมิงนั่นเอง


เพราะเขายังต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเลยต้องเตรียมของมามากหน่อย แล้วอีกอย่างของมากมายพวกนี้ก็ไม่สามารถกินได้หมดทันภายในหนึ่งเดือนด้วย แบ่งให้ตู๋กังกับปา เต๋าน่าจะดีกว่า


ส่วนตู๋ กังกับปาเต๋านั้น เมื่อได้ยินหลิน เฟิงบอกให้พวกตนทิ้งอาหารในมือไปซะนั้น พวกตนต่างก็คิดว่าหลิน เฟิงจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ และพวกเขาเองก็ไม่เต็มใจที่จะทำแบบนั้นด้วย


แต่ทว่าเมื่อเห็นหลิน เฟิงเอาของดีออกมาจากในแหวน ตาของพวกเขาก็เป็นประกาย ราวกับกำลังเห็นของมีค่า ก่อนจะรีบเข้าไปเอาจากในมือของหลิน เฟิง


ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจ หลิน เฟิงจึงให้ไก่พวกเขาพร้อมกับไวน์ไหหนึ่ง แล้วจากนั้นพวกเขาจึงนำไก่ฟีนิกส์ย่างไปวางใกล้ไฟ


ถึงแม้จะย่างมาสุก แต่มันก็เย็นชืดเสียแล้ว ก็เลยต้องย่างและให้ความร้อนกันเสียใหม่ รสชาติน่าจะดีกว่า


ไม่นาน กลิ่นไก่ย่างก็ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ตลบอบอวลไปหมด


สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือว่าในขณะที่พวกเขากำลังกินไก่อยู่นั่นเอง คนสองคนที่นั่งอยู่แถวๆต้นไม้ใกล้ๆกันก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างขึ้นมา 


หนึ่งในนั้นว่าขึ้น “ว้าว น่าอร่อยจัง กลิ่นเหมือนไก่ย่างเลย ตั้งแต่มาข้ายังไม่เคยได้กลิ่นมันเลย”


“ศิษย์น้อง ตื่นสิ ตื่น” ชายคนนั้นแตะคนอีกคนที่อยู่ข้างๆเขาที่เขาเรียกว่าศิษย์น้อง


“มีอะไรงั้นหรือครับ ศิษย์พี่” ศิษย์น้องถาม


“เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม”


เมื่อศิษย์ผู้น้องได้ฟังดังนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาดม พลันสายตาก็เป็นประกายก่อนจะเอ่ยขึ้น “นี่มันกลิ่นไก่ย่างนี่ครับ น่าจะอร่อยมากด้วย อยากชิมจังเลย”


แต่อย่างไรก็ตาม พอต่อมา ศิษย์ผู้น้องคนดังกล่าวจู่ๆก็มีท่าทีขบคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นมา “ไม่ ไม่ได้ มันบาปๆ พวกเราเป็นพระ จะดื่มกินพวกเนื้อไม่ได้”


ถ้าหลิน เฟิงมาอยู่ตรงนี้ เขาก็ต้องจำพระทั้งสองรูปได้อย่างแน่นอน เพราะเขาเคยเห็นพระทั้งสองรูปนี้มาก่อนแล้วนั่นเอง


“ศิษย์น้อง อย่ามาพูดดีเลย แล้วอย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ ว่าเจ้าน่ะมีความสุขกับการกินที่สุดแล้ว และยิ่งพอได้กินเนื้อนะ” ศิษย์ผู้พี่ว่า


“หา ตรงไหนครับ แต่ศิษย์พี่ก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ เห็นชอบแอบไปกินเนื้อและไปดื่มกับท่านเจ้าอาวาสลับหลังข้าตลอดเลยนะครับ” ศิษย์ผู้น้องกล่าวบ้าง


“เฮ้อ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ แล้วตามไปดูกลิ่นไก่ย่างแสนอร่อยนั่นจะดีกว่า”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น