RC:บทที่ 337 หลบหนี

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 337 หลบหนี


ร่างสูงนั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นลอนจนน่ากลัว จนดูเหมือนหมียักษ์ ลมหายใจพุ่งพล่าน


เมื่อชายทั้งเจ็ดคนรวมถึงสัตว์วิญญาณทั้งเจ็ดตัวเห็นภาพนั้น ทั้งหมดต่างก็เริ่มรู้สึกกลัวก่อนจะถอยออกมา


“เดี๋ยวพอนับสามก็ลุยเลยนะ สาม สอง หนึ่ง ลุย” หลิน เฟิงกล่าวกับทั้งสอง


ในตอนนี้ ปาเต๋าก็ถือมีดไว้ในมือซึ่งดูเหมือนเป็นอาวุธวิญญาณระดับกลาง สิ่งที่เห็นก็คือเขาส่งพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น และทันใดนั้นเอง มีดเล่มนั้นก็สั่นไปมา ก่อนที่เส้นสีแดงบนตัวมีดจะกระจายตัวออกไปเรื่อยๆ


เมื่อฮวงฝู เทียนหนานเห็นแบบนั้น ตงฟาง เชาหยางก็หันขวับมามองกัน จากนั้น ทั้งสองจึงป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดขึ้น “ล้อมพวกมันไว้ ใช้พลังทั้งหมดที่มีจัดการพวกมันซะ” 


ฮวงฝู เทียนหนานและตงฟาง เชาหยางต่างถือดาบทองคำเล่มใหญ่และปืนยาวไว้ในมือ เพื่อเข้าจัดการหลิน เฟิง


ส่วนคนอื่นๆต่างก็พุ่งเข้าไปจัดการหลิน เฟิงและต้องการที่จะหยุดพวกเขาทั้งหมดไว้


ดาบทองคำของฮวงฝูฉายแสงวับขึ้นมา พร้อมกับเงาปืนสีน้ำเงินของตงฟาง เชาหยางที่ปรากฏขึ้นมา พวกเขาทุกคนต่างใช้ไหวพริบในการเข้าโจมตีพวกหลิน เฟิงทั้งสามคน


 “ฆ่ามัน”


ในตอนนี้ ดาบปลายปืนที่ขึ้นลำไว้แล้วก็ลั่นไกออกไปในทันที


เขาจ้องดาบปลายปืนในมือก่อนจะยิงออกไปตรงหน้าเขา


ต่อมา ภาพน่ากลัวก็ได้เกิดขึ้น แสงจากมีดเล่มดังกล่าวสูงขึ้นไปถึงสองเมตร ด้วยพลังที่ไร้ขีดจำกัด จนผ่าแผ่นดินแยกออกจากกัน จากนั้นก็เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ที่แยกฮวงฝู เทียนหนานและตงฟาง เชาหยางออกจากกัน


ในตอนนี้เอง ที่คิ้วของหลิน เฟิงก็ส่องแสงออกมาเป็นแสงสีทอง แล้วจากนั้นกิ่งไม้ปีศาจหลายต้นก็พุ่งออกมา โดยแต่ละต้นที่ออกมาล้วนแหลมคม ก่อนจะพุ่งไปที่ร่างของคนและสัตว์ที่อยู่ตรงหน้าพวกมัน


ตู๋ กังปล่อยพลังวิญญาณออกมา ก่อนที่แรงส่งขนาดหนักจะได้ก่อตัวขึ้น เขาก็อ้าปากร้องคำราม แสงสีขาวอันทรงพลังพุ่งเข้าโจมตีในทันใด


“ไอ้เจ้าบ้านี่ พลังเยอะอะไรแบบนี้” ฮวงฝูนึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น


จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ได้เห็นปาเต๋าที่มีพลังระดับ S แต่ก็ไม่ได้นึกสนใจ 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีคนถึงหกคนเลยด้วย


แต่กลายเป็นว่าเขานั้นประเมินพลังของพลังของคนเก่งๆพวกนี้ต่ำเกินไปเสียแล้ว พลังของเขาพวกเขานั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าคนอื่นๆยกเว้นแต่เขากับตงฟาง เชาหยางเลย


และเมื่อการโจมตีนั้นต่างมุ่งมายังหัวกะทิของตระกูลทั้งสองคนนั้น ทั้งสองจึงแสดงพลังอันแสนยานุภาพของแต่ละคนออกมาทันที


ฮวงฝูร้องลั่น ดาบเล่มสีทองฟันเข้าที่แสงที่เกิดจากเสียงคำรามนั่น ตรงกลางท้องฟ้าเกิดเสียงดังลั่น ความสามารถอันทรงพลังทำให้เกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสองฝั่ง จนฝุ่นละอองและควันลอยฟุ้งไปทั่วทุกที่


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หลิน เฟิงก็ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย พละกำลังของปาเต๋านั้นดูจะแปลกไปกว่าที่หลิน เฟิงคาดการณ์ไว้สักเล็กน้อย


และในตอนนี้เอง ต้นไม้ปีศาจทองคำที่ตัวรากโผล่ออกมาจากคิ้วของหลิน เฟิงนั้นก็ได้พุ่งไปที่ฮวงฝู เทียนหนานและคนอื่นๆโดยฝ่าดงควันพวกนั้นเข้าไป


กิ่งไม้เหล่านี้มีหลายต้นด้วยกัน โดยแต่ละต้นนั้นเปรียบได้เหมือนปืนยาว ทั้งหนาและคม แถมยังเคลือบพิษไว้ด้วย ถ้าโดนเข้าล่ะก็ ต้องมีเป๋ไปไม่น้อย 


เมื่อต้นไมีปีศาจนั้นโผล่ออกมา ฮวงฝู เทียนหนานและคนอื่นๆก็ถึงกับอึ้งไป ฝุ่นที่เกิดจากการปะทะและระเบิดระหว่างฮวงฝู เทียนหนานกับคมดาบของดาบเล่มใหญ่นั้นบังตาพวกเขาไปหมด


ทันทีที่พวกเขาตั้งสติได้ ต้นไม้ปีศาจทองคำก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพวกเขาก่อนจะพุ่งไปที่ร่างของคนพวกนั้น


“ปืนลวงตา”


นอกจากฮวงฝู เทียนหนานแล้ว ก็ยังมีคนเก่งอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือตงฟาง เชาหยางจากตระกูลตงฟางนั่นเอง


เมื่อต้นไม้ปีศาจทองคำพุ่งเข้ามา มันก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าคนพวกนั้น เขาจึงดึงเอาปืนวิเศษออกมาใช้


พวกเขารู้ได้ถึงพละกำลังของการเคลื่อนไหวนี้ และนึกได้ว่าตอนที่หลิน เฟิงเองก็ใช้เจ้านี่ตอนที่อยู่ในถ้ำเสือขาว เล่นเอาเสือขาวตัวนั้นบาดเจ็บสาหัสไปเลยทีเดียว ไม่อย่างงั้น พวกเขาคงฆ่ามันได้ง่ายๆแบบนั้นไม่ได้แน่


ดังนั้น  ตงฟาง เชาหยางจึงไม่นึกประมาทเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้ปืนวิญญาณนั้นจัดการ


แล้วทันใดนั้นเอง ภาพของปืนนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้น ป้องกันการโจมตีจากต้นไม้ปีศาจนั่นได้


เมื่อหลิน เฟิงเห็นแบบนั้น เขาก็อดที่จะชื่นชมพลังของตงฟาง เชาหยางไม่ได้เลยที่เขาหยุดมันได้


แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ตงฟาง เชาหยางจะได้ใจไปมากกว่านี้ เสียงคำรามก็ได้ดังแทรกขึ้นมาในทันที คลื่นแสงอันทรงพลังนั้นได้เจาะทะลวงฝุ่นพวกนั้นที่ลอยคลุ้งอยู่ ก่อนจะพุ่งตรงไปที่ที่พวกคนอยู่กัน


ฮวงฝู เทียนหนานกับตงฟาง เชาหยางก็ถึงกับอึ้งไป พวกเขารีบใช้อาวุธกันเอาไว้ เป็นโล่แสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาคลุมตัวเขาไว้ ก่อนจะตกใจแสงสีขาวลำใหญ่นั้น แต่มันก็ไม่มีผลอะไรกับพวกเขานัก


แต่ทว่าปฏิกิริยาที่รวดเร็วของพวกเขานั้นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะทำได้แบบเดียวกัน แสงสีขาวอันทรงพลังนั้นพุ่งเข้าโจมตีคนอื่นๆ ก่อนจะร่วงไปในเวลาต่อมา พร้อมกับกระอักเลือด


แล้วทันใดนั้นเอง ช่องโหว่ขนาดใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว


“เผ่น” เมื่อหลิน เฟิงสบโอกาส เขาจึงว่าขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพาทั้งสองคนหนีไปอย่างรวดเร็ว


 “หยุดไอ้พวกสวะนั้นไว้” ฮวงฝู เทียนหนานมองคนข้างหลัง ก่อนที่จะหันไปเจอร่องรอยที่ทิ้งไว้แต่ฝุ่นควันคละคลุ้งไปหมดตรงหน้า


“มังกรแสง” เพียงเอ่ยเบาๆ คิ้วของหลิน เฟิงก็สว่างวาบขึ้นมา พลันร่างสีขาวก็ปรากฏขึ้น


แม้ร่างของมังกรแสงจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็มีขนาดที่มากพอที่จะพาทั้งสามคนบินหนีไปได้


เมื่อฮวงฝู เทียนหนานกับตงฟาง เชาหยางวิ่งเข้ามา พวกเขาทั้งสามคนก็ขึ้นไปบนหลังมังกรแสงเรียบร้อยแล้ว


สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับหลิน เฟิงก็คือว่าหลังจากที่พวกเขาไปแล้วนั้น ทั้งสองตระกูลก็ได้ตามมา แถมพวกเขาอีกหลายคนก็ล้วนแต่มีลมหายใจที่น่าทึ่ง และโชคดีที่พวกหลิน เฟิงเดินไว ไม่อย่างงั้นล่ะก็ คงไม่มีโอกาสหนีแน่ๆ


“อะไรนี่” แล้วตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งในนั้นที่มีลมหายใจที่แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะหันไปพูดกับตงฟาง เชาหยาง


“นายไม่เห็นหรือไง วิ่งไปสิ” ตงฟาง เชาหยางเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์


“เสียข้าวสุกจริงๆ มีคนตั้งเจ็ดคนแต่หยุดสามคนนั้นไว้ไม่ได้” ชายคนนั้นว่าขึ้นด้วยท่าทีดูหมิ่น


แต่ถึงจะโดนชายคนดังกล่าวดูถูก ตงฟาง เชาหยางเองก็ยังไม่กล้าตอกกลับด้วย แม้แต่ฮวงฝู เทียนหนานที่อยู่ใกล้ๆกันก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่นึกโกรธ


“แถมพวกมันยังหนีไปได้แล้ว พวกนายมัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่ไล่ตามพวกมันไปให้ไวล่ะ” ชายคนดังกล่าวว่าเสียงลั่น


“ไล่ตามหรอ นายไม่เห็นหรือไงว่าคนของเราเจ็บไปกันตั้งเท่าไหร่ แล้วจะให้ไล่ตามทั้งๆที่ยังไม่หายบาดเจ็บเนี่ยนะ” ตงฟาง เชาหยางเอ่ยขึ้นอย่างโกรธๆ


“แต่ถึงจะไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่ฝีมือพวกนายก็ยังห่วยอยู่ดี สิ่งเดียวที่ฉันรู้ คือถ้าพวกนายไม่ไล่ตามพวกนั้นไปในตอนนี้ ฉันจะฆ่าพวกนายซะ” ชายคนดังกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก


เมื่อได้ยินแบบนั้น ตงฟาง เชาหยางก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลย ทำได้แต่มองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ก็ถ้าไม่บาดเจ็บตอนเข้าไปในถ้ำเสือขาวตั้งแต่แรก แล้วพอออกมาก็โดนนายโจมตีล่ะก็ นายจะยังกล้าพูดแบบนี้อยู่ไหม”


“คิดอะไรของนาย ถ้านายไม่สงบสติอารมณ์ล่ะก็ พวกเราอาจจะฆ่าคนของนายไปอีกหลายคนเลยนะ และถ้าไม่ใช่เพราะต้องพึ่งนายให้ทำงานให้ล่ะก็นะ” ในตอนนั้นเอง ชายคนดังกล่าวก็ได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


“ซือหม่า ยี่ชาง มันจะไม่เกินไป...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น