RC:บทที่ 336 ถูกล้อม
ทันใดนั้นเอง ปาเต๋าก็ตะโกนขัดขึ้น
ในใจลึกๆของจู่ ยี่นั้น เขาล่ะอยากจะฆ่าตัวตายเหลือเกิน และอยากจะทำเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วย
“มีอะไร” หลิน เฟิงถามขึ้น
“ปาเต๋า ช่วยฉันด้วย ฉันขาดสติไปหน่อย และตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วนะว่าผิด ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันที” ในตอนนี้เอง จู่ ยี่ก็ได้เอ่ยขอความเมตตาไม่ได้หยุดราวกับคนบ้า
แต่ถึงปาเต๋าจะเห็นแบบนั้น แต่ก็ส่ายหัวไปมา “ความตายไม่ใช่เรื่องที่ควรเห็นใจกัน ฆ่าเขาซะ”
หลังจากพูดจบ ปาเต๋าก็ไม่หันกลับมาอีก ก่อนจะเดินไปยังที่นอนของตน
“ไม่นะ ไม่ ไม่” จู่ ยี่ยังดิ้นไปมาอยู่แบบนั้น แล้วนี่เขาจะหนีหลิน เฟิงไปที่ไหนดีกันนะ
“นี่ถ้าพวกแกฆ่าฉันล่ะก็ พวกแกตายแน่ ฮ่าๆ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าเหรียญสีขาวที่แกเอาออกมาก่อนหน้านี้น่ะคือผนึกเสือขาว และฉันก็ได้แจ้งข่าวให้ตระกูลทั้งสิบแล้วด้วย เดี๋ยวไม่นานพวกเขาก็กำลังจะมา แล้วแกก็ต้องตาย ฮ่าๆๆ” จู่ ยี่หัวเราะร่วน
“แกมัน ไอ้สารเลว จะตายแล้วยังหาเรื่องมาให้พวกเราอีกเหรอ” เมื่อได้ยินแบบนั้น ตู๋ กังก็โกรธจัดมากเสียจนชกเข้าที่ศีรษะของจู่ ยี่ จนเขาสิ้นใจตายคาที่
ไม่นาน หลิน เฟิงกับตู๋ กังก็กลับมายังสถานที่ที่พวกเขานอนก่อนจะแจ้งข่าวให้กับปาเต๋า และเรื่องนี้ก็ทำให้ปาเต๋าฉุนโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ้เวร มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจหรือไงนะ ฉันขอโทษจริงๆนะ แล้วตอนนี้เราจะทำอะไรดี” ปาเต๋าเอ่ยถาม
“มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีกไหม ที่แน่ๆรีบเผ่นกันให้ไวเถอะ” ทันทีที่หลิน เฟิงพูดจบ เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ราวกับว่ามีคนมากมายกำลังจะมาที่นี่
เมื่อหลิน เฟิงตั้งใจฟังให้ดี ใบหน้าของเขาก็หมองลง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มีคนกำลังมา จำนวนน่าจะมากด้วย เร็วเข้า”
จากนั้นหลิน เฟิงกับอีกสองคนที่เหลือจึงรีบออกจากตรงนั้นเพื่อมุ่งไปทางตะวันออกในทันที
ในขณะที่หนี พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าตระกูลไหนกำลังตามพวกเขามาอยู่ หรือจะให้พูดก็คือ พวกเขาไม่เห็นว่าใครกำลังตามมา และคนที่ตามมาก็ไม่เห็นพวกเขาด้วย
พวกเขาต่างไล่ตามซึ่งกันและกัน และมีมาเป็นจำนวนมากด้วย ในขณะที่หลิน เฟิงมีกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น คงเอาไม่อยู่แน่ ก็เลยต้องหนีไป
ใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุด พวกเขาก็ทิ้งห่างคนที่ตามมาพวกนั้นได้หมด
“ฮู่ เหนื่อยแท้ ไอ้บ้าพวกนี้มันขี้ตื๊อเป็นบ้าเลยวุ้ย ของพวกนั้นก็แค่เหรียญโบราณผุๆพังๆเองนี่” ตู๋ กังยืนพิงกับต้นไม้ พลางหอบหายใจ
หลิน เฟิงหันไปมองเขา ก่อนจะยิ้มออกมาและกล่าวขึ้น “นี่ไม่ใช่เหรียญโบราณธรรมดาๆนะ เห็นพวกนั้นว่ามีของบางอย่างที่สามารถเปิดสมบัติได้ แต่ฉันคิดว่ามันตลกสิ้นดี”
“ถ้าไม่นึกถึงเรื่องนั้น ของแบบนี้ก็สามารถให้พลังวิญญาณได้นี่ อย่างน้อยจุดนี้ก็ถือว่าเป็นสมบัติแล้วล่ะ” ปาเต๋าเอ่ยขึ้น
“ใครน่ะ”
สิ้นคำของปาเต๋า จู่ๆหลิน เฟิงก็ได้ยินเสียงที่มาจากข้างหลังเขา นี่ดูเหมือนว่าพวกตงฟางกำลังใกล้เข้ามาหาพวกเขาเต็มที เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเร่งเดินกันไป
“ประสาทรับรู้เฉียบมาก ที่นายรู้แบบนั้นได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เสียงถมึงทึงจากข้างหลังดังขึ้นมา ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะปรากฏตัวออกมาจากกอหญ้าที่ไกลออกไป
ชายคนดังกล่าวเป็นคนรูปหล่อและดูสง่า แต่ทว่าในตอนนี้ เสื้อของเขากลับขาดรุ่งริ่ง มีเลือดเลอะเป็นสาย และได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว มองเพียงแวบเดียว หลิน เฟิงก็รู้สึกคุ้นๆ และไม่นาน เขาก็นึกออกแล้วว่าใคร
นั่นมันฮวงฝู เทียนหนานไม่ใช่หรือ ผู้นำจากตระกูลฮวงฝูที่เจอกันที่ถ้ำไป่หูที่เทือกเขาไป่หูไม่ใช่หรือ
ฮวงฝู เทียนหนานจ้องมาที่หลิน เฟิงด้วยความโกรธหลังจากที่หลิน เฟิงขโมยเอาผนึกพยัคฆ์ขาวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาพากันออกมาจากถ้ำ พวกเขาก็ได้เจอกับตระกูลอีกสองตระกูล และหลังจากที่สู้กันเสร็จ ตระกูลฮวงฝูกับตระกูลงฟางก็ถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บอย่างหนักอีกหลายคน จนเหลือไม่ถึงครึ่ง
เมื่อได้เห็นสภาพของฮวงฝู เทียนหนาน หลิน เฟิงก็ถึงกับตกใจสุดขีด อีกทั้งยังรู้สึกอายๆ “บังเอิญจังนะเนี่ยที่เราได้เจอกันอีก ทุกคน ออกมาสิ”
หลิน เฟิงรู้เลยว่าเมื่อชายคนนี้มาปรากฏตัวที่นี่แล้ว คนของเขาและคนจากตระกูลตงฟางก็น่าจะต้องอยู่แถวๆนี้ด้วย
“ออกมา”
หลังจากที่หลิน เฟิงพูดจบ ฮวงฝูก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพลางหันไปรอบๆ
จนต่อมา คนหกคนก็ออกมาจากทุกทิศทางก่อนจะยืนล้อมพวกเขาเอาไว้ พวกนั้นดูมีท่าทีถมึงทึงพลางจ้องไปที่หลิน เฟิง
เมื่อตู๋กังกับปาเต๋าเห็นแบบนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ อีกทั้งยังอดคิดถึงในสิ่งที่หลิน เฟิงทำไม่ได้ ที่ทำให้คนพวกนี้โกรธจัดกันได้มากถึงขนาดนี้
“ทำไมถึงมีแค่เจ็ดคนล่ะ” หลิน เฟิงสงสัย
หลิน เฟิงจำได้แม่นเลยว่าตอนที่เขาอยู่ที่ถ้ำไป่หู เขายังเห็นคนเป็นยี่สิบกว่าคนเลย แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้นเอง โดยสามคนมาจากตระกูลตงฟาง ส่วนอีกสี่คนมาจากตระกูลฮวงฝู
แถมร่างทั้งร่างของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยเลือดและรอยบอบช้ำ
“ทำไมถึงมีแค่สี่คนน่ะหรือ ไม่ใช่เพราะแกทำเรื่องงามหน้าไว้หรือไง”
ชายผู้มีพลังระดับ S จากตระกูลฮวงฝูเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ ทั้งเศร้าและโกรธเลยด้วย
“ในที่สุดก็เจอแกสักทีนะ ไอ้หนู แกปล่อยให้เรามาเจอแกเองนะ” แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ผู้นำจากตระกูลตงฟางก็ได้เอ่ยขึ้นมาในที่สุด
หลิน เฟิงมองไปรอบๆก่อนจะเห็นว่านี่คือตงฟาง เชาหยางนั่นเอง และในตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสสากรรจ์พอสมควรเลยทีเดียว แต่ทว่าพละกำลังก็ยังแกร่งกว่าคนอื่นๆมากนัก อาการบาดเจ็บเลยทำอะไรเขาไม่ได้เลย
ในตอนนั้นเอง คนเจ็ดคนก็ได้เข้ามาล้อมหลิน เฟิงเอาไว้ อีกทั้งแต่ละคนก็ได้ปลดปล่อยแรงส่งมหาศาลออกมาด้วย
คนทั้งหกนั้นมีพลังเหนือกว่าระดับ S ขึ้นไปแล้ว โดยที่คนหนึ่งคือผู้มีพลังระดับ A ขั้นสุดยอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ไม่อาจต่อกรได้
มีปาเต๋าก็ดีหน่อย เพราะพละกำลังของเขานั้นอยู่ที่ระดับ S และเป็นคนที่ใช้พลังจากโครงสร้างพิเศษในการสั่งสมพลัง ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีพลังกล้าแกร่งอย่างฮวงฝู เทียนหนานหรือตงฟาง เชาหยาง เขาก็คงจะไม่โดนล้มง่ายๆแน่
ในส่วนของปาเต๋านั้น เขารู้สึกเป็นห่วงหลิน เฟิงกับตู๋ กัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกว่าทั้งคู่ดูจะไม่ธรรมดาแน่ ไหนจะเรื่องที่หลิน เฟิงไปก่อเรื่องกับคนพวกนี้แล้วกลับมาไม่เป็นอะไรด้วยซึ่งพิสูจน์ได้เลยว่าหลิน เฟิงไม่ใช่กระจอกๆเลย
“ข้างหลังยังมีทีมตามหาพวกเรามาอีก อย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย หาโอกาสหนีกันดีกว่า” หลิน เฟิงกล่าวกับตู๋ กังและปาเต๋า
“ได้เลย” พวกเขาไม่ใช่คนพูดมากกันอยู่แล้ว ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
ในตอนนั้นเอง ทั้งเจ็ดคนก็ได้ปล่อยสัตว์วิญญาณของตัวเองออกมา แล้วทันใดนั้นเอง ทั้งเจ็ดคนกับสัตว์อีกเจ็ดตัวก็ได้เข้าล้อมวงพวกเขาเอาไว้
“ตู๋ กัง ใช้สัตว์วิญญาณนายแล้วลุยเลย” หลิน เฟิงกล่าวกับตู๋กัง
“ได้” ตู๋กังตะโกนลั่น ก่อนที่ตรงระหว่างคิ้วของเขาจะส่องสว่างขึ้นมา แล้วร่างของหมีภูเขาตัวใหญ่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคนทั้งสาม
ในตอนนี้ หมีภูเขาตัวใหญ่นั้นมีรูปร่างกลมโตมากกว่าแต่ก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าตู๋ กังก้าวไปอีกระดับแล้วนั่นเอง ก็เลยตัวกลมมากขนาดนี้
เมื่อเห็นวิชาลับของตู๋ กังในการกระตุ้นให้สัตว์ป่าเข้าต่อสู้ แล้วทันใดนั้นเอง ร่างใหญ่โตของหมีภูเขาตัวดังกล่าวก็กลายเป็นแสงสีเหลืองก่อนจะลอยเข้าไปในร่างของตู๋ กัง
ช่วงเวลาต่อมา ร่างของตู่ กังก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
0 ความคิดเห็น