RC:บทที่ 326 เจตนารมย์ที่ต้องสานต่อ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 326 เจตนารมย์ที่ต้องสานต่อ


“ว้าว พี่เทียนหนานนี่เก่งสุดๆไปเลย จัดการงูตัวนั้นเสียอยู่หมัด” คนจากในตระกูลฮวงฝูตะโกนขึ้นด้วยความสุขใจ


“ฮึ่ม”


ในตอนนั้นเองเมื่อตงฟาง เชาหยางลงมาจากฟ้า เขาก็พ่นลมหายใจอันเย็นยะเยือกออกมา และดูมีท่าทีไม่พอใจสุดๆ เห็นได้ชัดว่าพลังที่เขาใช้ไปนั่นคือท่าสุดยอดที่สุด ถ้าเขาไม่ทำให้พญางูตัวนั้นบาดเจ็บล่ะก็ ฮวงฝู เทียนหนานก็คงไม่มีโอกาสได้ฆ่ามันแน่


หลิน เฟิงที่ได้เห็นภาพนั้นก็สังเกตเห็นว่าชายคนนี้นั้นจริงๆก็คือสมาชิกสิบอันดับแรก พละกำลังสุดแสนน่ากลัว และสิ่งที่พวกเขาได้แสดงนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ รวมถึงพละกำลังที่แท้จริงที่ยังไม่ได้แสดงออกมา


“ขอบคุณ แล้วก็ขอบคุณพี่เชาหยางด้วยที่ทำให้มันบาดเจ็บก่อน ผมก็เลยได้โอกาสสังหารมัน ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว พี่เชาหยางน่าจะได้ความดีความชอบนี้ไปด้วยซ้ำ” ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลฮวงฝู การหยั่งลึกพลังของฮวงฝูนั้นล้ำลึกกว่าคนธรรมดาทั่วไป และเขาก็ได้เห็นสีหน้าที่หมองลงของตงฟาง เชาหยางด้วย


ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากฮวงฝู เทียนหนานกล่าวเช่นนี้ออกไป สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก และยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า “พี่เทียนหนานก็พูดเกินไปแล้ว”


หลิน เฟิงมองทั้งคู่ที่ต่างเยินยอกันไปมา เขาไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองร่างของพญางูบนพื้น นี่เป็นถึงสัตว์ในตำนานของจีนเลยเชียวนะ ถึงแม้จะตายแล้ว หลิน เฟิงก็สามารถนำร่างของมันไปสกัดเอาเลือดหรือไม่ก็ให้เจ้าลิงศึกษาได้ในฐานะสมบัติหายาก


ในขณะที่หลิน เฟิงเก็บร่างของงูตัวดังกล่าวเข้าไปในแหวนด้วยความรีบร้อนนั้นเอง สมาชิกตระกูลตงฟางก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “เฮ้ย ทำไมนายเอาแต่คอยเก็บร่างของสัตว์พวกนั้นกันนะ” ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบ ทุกคนก็หันมามองที่หลิน เฟิงในทันที


เมื่อตั้งคำถามแบบนั้นกับหลิน เฟิง เขาก็หันกลับไปเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยตอบ


“ผมคอยเก็บกวาดสนามรบเพื่อให้สภาพแวดล้อมสบายตาสำหรับทุกคน และให้เพื่อการพักผ่อนด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็สู้กันมาตั้งนาน เดี๋ยวก็ต้องขึ้นไปชั้นเก้าอีก รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีก่อนจะไปต่อไม่ดีกว่าหรือครับ”


“อ๋อ” ทุกคนเห็นคล้อยตาม ก่อนจะนั่งลงพักผ่อน


“...”


จริงๆแล้วหลิน เฟิงอยากจะต่อยเอาหมอนี่สักหมัดด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้จักกันแต่ยังจะพูดมากจนเกือบเสียเรื่องเพราะคำๆเดียว


และสิ่งที่ทำให้หลิน เฟิงโกรธยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมก็คือคำถามที่จู่ๆก็ทำให้หลิน เฟิงถูกทุกคนจับตามอง แต่สิ่งที่ทำให้หลิน เฟิงรู้สึกโล่งอกก็คือคนที่มองเขา ก็ได้ไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณกันแล้ว


“ฟู่ว” หลิน เฟิงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนหน้าผาก


เขาล่ะกลัวเหลือเกินว่าคนพวกนี้จะถามว่าเขาเป็นใครและมาจากไหน แต่เขาก็คิดมากไปเอง ตัวเขาเองไม่ใช่คนดังเสียหน่อย ไม่มีใครสนหรอกว่าเขาจะเป็นใคร


หลังจากเหงื่อแห้งแล้ว เขาจึงมองไปยังคนที่เหลือ ก่อนที่จะนั่งลง


ในตอนนี้ ทุกคนต่างนั่งกันอยู่เงียบๆ หลิน เฟิงจึงเป็นคนเดียวที่เดินไปหาสมาชิกตระกูลตงฟาง


ในตอนนี้ ใบหน้าของหลิน เฟิงเปื้อนไปด้วยสีดำ และเขาก็ไม่สามารถเห็นหน้าจริงๆของหลิน เฟิงที่เปื้อนโคลนแบบนี้ด้วย หลิน เฟิงเอ่ยถามเสียงเบา “สวัสดีครับ พี่ชาย ผมเป็นหน่วยช่วยเหลือเฉพาะกิจจากตระกูลฮวงฝูนะครับ ชื่อหลิน ชาน พี่ชื่ออะไรหรือครับแล้วมาทำอะไรที่นี่”


หลิน เฟิงยืนพลางพูดคุยกับชายคนดังกล่าว ก่อนจะตั้งชื่อปลอมขึ้นมา มีชื่อจริงโผล่อยู่นิดนึง


 “ว่าไงน้องหลิน ชาน ฉันชื่อตงฟาง เหวินเต๋า นี่คนจากตระกูลฮวงฝูไม่ได้บอกนายหรอกเหรอว่าพวกเราจะมาทำอะไรกันที่นี่” สมาชิกจากตระกูลตงฟางจ้องไปที่หลิน เฟิงก่อนจะถามขึ้น


“เปล่าครับ ไม่เลย คือผมคุ้นเคยกับตระกูลของพวกเขาดี ก็เลยถูกเชิญมา แต่พวกกลับไม่บอกอะไรผมเลย พี่เหวินเต๋า พี่ช่วยบอกผมทีสิครับ” หลิน เฟิงว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง


“ตระกูลฮวงฝูนี่ใจร้ายจัง นี่เห็นแก่ว่านายไปช่วยทำความสะอาดสนามรบให้พวกเราหรอกนะ ฉันก็จะบอกนายให้”


ตงฟาง เหวินเต๋านั้นเป็นสมาชิกที่ได้รับความเคารพน้อยที่สุดและอยู่ในระดับต่ำสุดของกลุ่มจากตระกูลตงฟาง และในครั้งนี้ เขาก็ถูกเรียกมาด้วย


และเมื่อครั้งนี้ หลิน เฟิงมาเรียกเขาว่าพี่ พลันความหยิ่งทะนงก็ปะทุออกมาในทันที


เมื่อหลิน เฟิงเรียกเขาแบบนั้น เขาก็ดูอารมณ์ดีเอามากๆและหันมาพูดกับเขาในทันที


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ตงฟาง เหวินเต๋าก็ได้หันมามองหลิน เฟิง พลางรู้สึกว่าหลิน เฟิงนั้นเป็นคนซื่อๆเหมือนกับเขามาก อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดสนามรบมาตั้งแต่ตอนแรกเลยด้วย แถมใบหน้าก็เปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด ดูน่าสงสารและอดไม่ไหวที่จะสงสารเขา


แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือว่าหลิน เฟิงนั้นก็รู้ตัวอยู่เหมือนกัน และสิ่งที่เขาไม่คิดก็คือชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือหลิน เฟิงซึ่งเป็นคนที่ทางตระกูลตงฟางจะฆ่านั่นเอง


 “เดี๋ยวฉันจะบอกนายให้ อย่าออกไปไหนนะ มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้ข่าวนี้” ในขณะที่ชายคนดังกล่าวกำลังจะเล่า เขาจึงเตือนหลิน เฟิงก่อน


หลิน เฟิงพยักหน้าหงึกๆ “ไม่ต้องห่วงครับ พี่ ผมจะไม่พูดเรื่องนี้เลย”


“ที่เรามานี่ก็เพราะจะมาเอาผนึกพยัคฆ์ขาว นายรู้ไหมว่าผนึกพยัคฆ์ขาวนั้นคืออะไร” ชายคนนั้นว่าขึ้น


“ไม่ครับ ผมไม่รู้” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกมึนงง


 “ผนึกพยัคฆ์ขาวคือกุญแจสำคัญในกรุสมบัติชั้นสูงยังไงล่ะ มันอยู่ในภูเขาสีขาวที่เราอยู่นี่ล่ะ ที่ชั้น 10  แต่ถ้าจะขึ้นไปก็ต้องผ่านแต่ละด่านนี่ไปให้ได้ก่อน”  ตงฟาง เหวินเต๋ากระซิบข้างหูหลิน เฟิง


หลังจากได้ยินแบบนั้น หลิน เฟิงก็ถึงกับอึ้งไป ที่นี่ไม่มีสมบัติงั้นหรอกหรือเนี่ย


จากนั้น หลิน เฟิงก็ถามต่อ “พี่เหวินเต๋า ผนึกเสือขาวเป็นแค่กุญแจดอกหนึ่ง แล้วยังมีดอกอื่นๆอีกไหม”


“ใช่แล้ว มีกุญแจอยู่สี่ดอกที่จะเปิดสมบัติชั้นสูง มีผนึกพยัคฆ์ขาว ผนึกมังกรเขียว ผนึกหงส์แดงและผนึกเต่าดำ มีทั้งหมดสี่ตัวด้วยกันซึ่งตระกูลของเราได้ค้นพบเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ทว่าเมื่อ 15 ปีก่อนนั้น ตระกูลของเราก็เพิ่งจะได้เจอ แถมยังไม่มีโอกาสที่จะได้สู้ ดินแดนเร้นลับแห่งนี้ก็ถูกปิดลงเสียก่อน”


“จากนั้น เมื่อสิบห้าปีก่อน ตระกูลของเราประเมินพลังของตัวเองมากเกินไป พอพวกเขาไปถึงชั้นเก้า ก็ได้รับบาดเจ็บเกือบจะสาหัสเลย ก็เลยไปต่อไม่ได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงเลื่อนมาถึงตอนนี้ ดังนั้น ครั้งนี้เราก็เลยมากับตระกูลฮวงฝูด้วยไงล่ะ” ตงฟาง เหวินเต๋าเล่นโน่นนี่ให้หลิน เฟิงฟังไปเรื่อยๆ


เมื่อยิ่งได้ฟัง เขาก็ยิ่งประหลาดใจ ตระกูลตงฟางตามติดเรื่องนี้ไม่ปล่อยมาถึง 15 ปี เป็นความพยายามที่น่าชื่นชมเสียจริง


“แล้วกุญแจอีกสามดอกนั้นอยู่ที่ไหนหรือครับ” หลิน เฟิงเลียบเคียงถามขึ้น


“ส่วนอีกสามดอกนั้นแน่นอนว่าต้องอยู่ที่เขาอื่นๆอีกสามลูก ที่เราอยู่กันนั้นคือภูเขาเสือขาวที่อยู่ทางตะวันตก ภูเขามังกรเขียวอยู่ทางทิศตะวันออก ภูเขาหงส์แดงอยู่ทางทิศใต้ ส่วนภูเขาเต่าดำนั้นอยู่ทางเหนือ” ตงฟาง เหวินเต๋ายัคงพูดอย่างต่อเนื่อง


“แต่ว่าพี่เหวินเต๋า ถ้าพวกพี่ได้แค่ผนึกพยัคฆ์ขาวไปอย่างเดียว ก็จะไม่ได้สมบัติไปน่ะสิครับ” หลิน เฟิงสงสัย


“ไม่ต้องห่วง กุญแจที่เหลืออีกสามดอกนั้นให้เป็นหน้าที่ของตระกูลอื่นกับองค์กรมืดเป็นคนหา ส่วนตระกูลตงฟางเราก็ต้องหาผนึกพยัคฆ์ขาวอย่างเดียว” ตงฟาง เหวินเต๋าอธิบาย


“อ๋อ เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะครับ พี่เหวินเต๋า”


ในขณะที่หลิน เฟิงกำลังจะลุกขึ้นและออกไป ทันใดนั้นเอง เสียงของตงฟาง เชาหยางก็ดังขึ้น “พี่เทียนหนาน ใกล้หมดเวลาพักแล้ว เริ่มเลยดีกว่า”


“เกือบจะได้เวลาแล้ว ลุกขึ้นเถอะ ไปชั้นเก้ากัน...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น