RC:บทที่ 321 จ่าฝูงหมาป่าผู้แข็งแกร่ง
เมื่อได้เห็นกองทัพหมาป่าดำปรากฏตัวแบบฉุกละหุกแบบนี้ หลิน เฟิงก็ถึงกับตกใจมาก สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขากับตู๋กังเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์ที่ตระกูลตงฟางเป็นผู้ดูแลเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้เผชิญหน้าและต้องต่อสู้กับสัตว์วิญญาณหมาป่าด้วย
แต่ทว่าสัตว์วิญญาณหมาป่าที่เจอตอนนั้นคือหมาป่านรกสายฟ้า แต่ที่เจออยู่ตอนนี้ก็คือหมาป่านรก พวกเขารู้ดี ตั้งแต่ที่พวกมันยังไม่ได้เป็นสัตว์วิญญาณเลยด้วยซ้ำ
หมาป่านรกคือสัตว์วิญญาณที่มีคุณลักษณะแห่งความมืด ในขณะที่หมาป่านรกสายฟ้าจัดว่าเป็นสัตว์วิญญาณที่มีคุณลักษณะแห่งสายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น หมาป่านรกนั้นจัดว่ารับมือยากเสียยิ่งกว่าหมาป่านรกสายฟ้าเสียอีก
เพียงแต่ว่าหมาป่านรกมักจะปรากฏตัวออกมาในตอนกลางคืน ร่างของมันกลมกลืนไปกับความมืด ถ้าพวกมันไม่โผล่ออกมาก่อน คนทั่วไปก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ก็เหมือนกับหลิน เฟิงที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็นหรือรู้สึกถึงพวกมันเลย จนมารู้ตัวอีกทีก็ถูกพวกมันล้อมไว้หมดแล้ว
ในตอนนั้นเอง ขณะที่จ่าฝูงหมาป่านรกปรากฏตัวออกมา ทุกๆคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
ในขณะที่บนหน้าผากของทุกคนนั้นมีเหงื่อผุดขึ้นมาราวกับกำลังเผชิญหน้ากับความตายยกเว้นหลิน เฟิงอยู่นั้น ความกลัวที่ดูจะไม่มีที่สิ้นสุดก็แผ่กระจายไปทั่ว
ทันทีที่ร่างของจ่าฝูงหมาป่านรกปรากฏตัวขึ้น เสี่ยว เฮยของหลิน เฟิงก็พ่นลูกบอลไฟยักษ์ทั้งสามลูกออกจากปากในทันที เป้าหมายคือจ่าฝูงตัวดังกล่าว
ลูกบอลไฟยักษ์นั้นเปล่งแสงสีดำออกมา ให้ความรู้สึกเผาไหม้ ร้อนจวนเจียนจะระเบิด ถ้าโดนเข้าไปครั้งหนึ่งก็สามารถคาดเดาถึงผลที่ตามมาได้เลย
แต่ทว่าในเวลาต่อมา สิ่งที่ทำเอาทุกคนถึงกับอึ้งก็ได้เกิดขึ้น เปลวไฟทั้งสามของเสี่ยวเฮยที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่นั้น จู่ๆ จ่าฝูงหมาป่านรกก็ส่งเสียงคำรามขึ้น จากนั้นมันก็ตวัดกรงเล็บยักษ์ออกมา
ปรากฏเพียงแค่แสงสีดำที่ลุกโชนอยู่บนกรงเล็บนั้นซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกฉีกกระชากออกมาจากลูกบอลไฟนรกของเสี่ยว เฮยนั่นเอง พลังตรงนี้ทำเอาใครต่อใครถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก
ซูม!!
พลันจ่าฝูงหมาป่านรกก็คำรามขึ้น มันรีบพุ่งเข้ามาพร้อมกับหมาป่าจำนวนที่เหลือในทันใด ทั้งดุร้ายและทรงพลัง
ในขณะที่วิ่งมาอยู่นั้น จ่าฝูงหมาป่านรกก็ได้รวบรวมพลังอัดเป็นลูกบอลพลังงานสีดำขนาดใหญ่ ก่อนจะโจมตีไปที่อีกามรณะที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ในตอนนั้นเอง อีกามรณะที่กำลังต่อสู้อยู่กับหมาป่านรกพวกนั้น จู่ๆก็ถูกพลังดังกล่าวโจมตีเข้าที่ร่างจนขนสีดำกระจายไปทั่วท้องฟ้า เลือดกระจาย มันได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัดกลางอากาศ
เมื่อเห็นแบบนั้น จู่ ยี่จึงคว้าร่างอีกามรณะของเขามา
ดูเหมือนว่าจ่าฝูงหมาป่านรกนั้นไม่คิดที่จะหยุดเข้ามาเลย แถมยังเร่งความเร็วเข้ามาอีกจนไปถึงตัวหมีภูเขาของตู๋กัง
แม้หมีภูเขาจะมีลำตัวที่ใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของมันนั้นค่อนข้างเชื่องช้า และโชคยังดีที่ตู๋ กังเตือนมันได้ทันเวลา เมื่อหมีภูเขาตัวดังกล่าวหันกลับมา มันจึงเอาอุ้งมือตวัดไปที่ร่างของจ่าฝูงหมาป่านรก
ซวบ!
พลันก็เกิดเสียงดังลั่น ทำเอาสัตว์ร่างยักษ์ทั้งคู่ถึงกับชะงักถอย โดยหลังจากที่จ่าฝูงหมาป่าลงมาที่พื้นแล้วนั้น มันก็ถอยไป ในขณะที่หมีภูเขาของตู๋กังนั้นถอยไปเพียงไม่กี่เมตร แถมอุ้งเท้าของมันก็สั่นระริก เลือดไหล
สัตว์วิญญาณตัวนี้จะได้รับการขนานนามว่าจ่าฝูงเมื่อมันโตขึ้น เรื่องที่จะต้องมาเจ็บตัวเพราะสู้แพ้จ่าฝูงหมาป่าตัวนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดแน่
หลิน เฟิงรวมถึงคนที่เหลือกำลังต่อสู้กับหมาป่าตัวอื่นๆนั้นต่างก็ตกใจสุดขีด จ่าฝูงหมาป่านรกนั้นรับมือยากเกินไป
ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น ระดับของหมีภูเขาตัวนี้ยังต่ำเกินไป ถ้าพวกมันอยู่ในระดับเดียวกันล่ะก็ ผลการต่อสู้ที่ได้อาจจะพลิกหรืออาจจะยิ่งไม่สามารถคาดเดาได้กว่าเดิม
ในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิน เฟิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติของอะไรบางอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่จ่าฝูงหมาป่านรกทรงพลังหรอก แต่เป็นเรื่องที่สัตว์วิญญาณในสถานที่เร้นลับแห่งนี้ทั้งหมดนั้นต่างแข็งแกร่งขึ้นมาเมื่อเทียบกับสัตว์วิญญาณในโลกเดิมต่างหาก
ในความรู้สึกของหลิน เฟิงนั้นการจะท้าสู้กับสัตว์วิญญาณในโลกเดิมเพิ่มขึ้นอีกสักระดับหนึ่งนั้นไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
หมาป่านรกพวกนี้เองก็จัดว่าเป็นสัตว์วิญญาณระดับ A แถมยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าจ่าฝูงหมาป่านรกสายฟ้าของตระกูลตงฟางเสียอีก
เมื่อหลิน เฟิงคิดถึงตรงนี้ เขาก็นึกไปว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่สัตว์วิญญาณอยู่กันซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมในสถานที่เร้นลับแห่งนี้รวมถึงพละกำลังของพลังวิญญาณก็ด้วย
“ช่วยด้วยๆ” และในตอนนั้นเอง จู่ ยี่ที่อยู่ถัดจากหลิน เฟิงไปก็ตะโกนขึ้นมาทันที
ในตอนนี้สัตว์คู่ใจของจู่ ยี่ได้รับบาดเจ็บซึ่งยิ่งเพิ่มความกดดันและอาจจะพ่ายแพ้แก่พวกหมาป่านรกพวกนี้
ในตอนนี้ หมาป่านรกจำนวนมากต่างดาหน้าเข้ามา และทุกตัวก็อยู่ในระดับ A ด้วย นอกจากนี้ จ่าฝูงหมาป่านรกเองยังนำพวกหมาป่ามาจากทั้งสามทิศทางอีกด้วยเพื่อให้เข้าต่อสู้กับพวกเขา
หลิน เฟิงกับตู๋ กังนั้นไม่เป็นไรหรอก เพราะพวกเขาต่างซ่อนพละกำลังของพวกตนไว้แล้ว การจัดการกับหมาป่าพวกนี้เป็นเรื่องหมูๆ แต่จู่ ยี่นี่สิ พละกำลังเขาไม่แข็งแรงเท่าที่ควร แถมสัตว์คู่ใจก็ยังมาบาดเจ็บอีก ทุกอย่างสำหรับเขากลับตาลปัตรไปหมด สถานการณ์ตรงหน้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย
ถ้าจะให้พูดก็คือ ปาเต๋านั้นได้สกัดการโจมตีจากหมาป่านรกอยู่ แต่ทว่าในตอนนี้ พวกมันกลับรุมล้อมเขาไว้ถึงห้าหรือหกตัว ซึ่งนั่นนับว่ามากเกินไปสำหรับเขา
เมื่อเห็นแบบนั้น หลิน เฟิงก็ถินหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ต้นไม้ปีศาจ”
ทันใดนั้นเองหลิน เฟิงก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของสุนัขนรกเสี่ยวเฮย แล้วในขณะเดียวกันนั้นเอง ต้นไม้ทองคำทั้งสองก็แตกออกมาจากคิ้วของเขา ก่อนจะพันร่างของจู่ยี่ดึงกลับมา
จากนั้นเขาจึงหันไปหาตู๋ กังก่อนจะกล่าวขึ้น “ตู๋กัง ไปกันเถอะ อย่าไปสู้”
เมื่อได้ยินหลิน เฟิงกล่าวแบบนั้น ตู๋ กังจึงเก็บสัตว์วิญญาณของตนมาก่อนจะวิ่งผ่านหมาป่าพวกนั้นพลางกระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเฮย
เมื่อต้องแบกรับน้ำหนักคนถึงสี่คน มันจึงวิ่งได้ลำบากเล็กน้อย แต่ในที่สุดมันก็วิ่งฝ่าวงล้อมของหมาป่านรกออกมาได้
หลิน เฟิงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ไหนจะหมาป่า ไหนจะสองคนนี้ เขาเลยไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้เต็มรูปแบบ นี่ก็เลยยิ่งทำให้เขารู้สึกกดดันขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้อยากจะใช้พลังออกมาให้เห็นนัก ตราบใดที่ยังไม่ถึงขนาดจนตรอก
แม้จะฝ่าวงล้อมของหมาป่านรกพวกนั้นมาได้ แต่ทว่าพวกมันกลับไม่มีท่าทีจะยอมถอย ซ้ำยังวิ่งตามพวกเขาต่ออีกด้วย
จนพวกเขาต้องหันกลับไปสู้เพื่อต้านพวกมันเอาไว้ในบางครั้ง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดพวกมันได้ ในขณะเดียวกัน พวกมันก็ไม่สามารถวิ่งตามพวกเขาทันได้
สุนัขนรกใช้เวลาวิ่งไม่ถึงสองนาที เหนือสิ่งอื่นใด มีคนถึงสี่คนอยู่บนหลัง วิ่งไปด้วยแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“นี่ ดูนั่นสิ ข้างหน้ามีไฟอะไรก็ไม่รู้” จู่ ยี่ว่าขึ้นเสียงดัง
เมื่อหลิน เฟิงมองออกไป ตรงหน้าพวกเขาก็มีกองไฟวาบขึ้นมา และไม่ใช่น้อยๆเลยด้วย แถมยังเห็นได้อย่างชัดเจนเลย ราวกับว่าเหมือนมีใครที่กำลังถือคบเพลิงอยู่และไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ
โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร หลิน เฟิงจึงสั่งเสี่ยว เฮยให้วิ่งไปยังอีกฝั่งในทันที
ไม่นาน พวกหลิน เฟิงก็ได้เข้าไปใกล้คนพวกนั้นขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าพวกเขามีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แถมหลิน เฟิงเองยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แข็งแกร่งและมีความคุ้นเคยปะปนอยู่ในนั้น
“เอ เดี๋ยวนะ พวกนั้นเหมือนกับตระกูลลตงฟางเลย” หลังจากที่ได้เห็น หลิน เฟิงก็จำลักษณะของคนพวกนั้นได้ในทันที
“มีอะไรกันงั้นหรือ” พวกเขาทั้งสองไม่ทราบเรื่องความขัดแย้งระหว่างหลิน เฟิงกับตระกูลตงฟาง
เมื่อไม่รู้ ก็เลยถามแบบนั้น
ในขณะที่ตู๋ กังรู้เรื่องดี เลยอดที่จะกังวลไม่ได้ “ทำไงดีล่ะ”
0 ความคิดเห็น