RC:บทที่ 319 เก็บอัญมณีอลหม่าน

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่  319 เก็บอัญมณีอลหม่าน


ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงยังคงถืออัญมณีพวกนั้นมาอย่างบ้าคลั่ง  และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็พูดออกมาว่า “ท่าไม่ดีแล้ว” แล้วมังกรม่วงก็คำรามก่อนจะพุ่งมาที่หลิน เฟิง


เมื่อเห็นมังกรสีม่วง หลิน เฟิงก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังของมัน เห็นได้ชัดเลยว่าผู้มีพลังระดับ S ทั้งสองคนคงไม่เหมาะจะเป็นคู่ต่อสู้ของมันแน่


“นี่คงได้เกือบหลายพันเลยนะเนี่ย” หลิน เฟิงแอบนับ ก่อนจะหยิบหินวิญญาณ​ขึ้นมาอีก 1000 กว่าชิ้น  ยังคงโลภอยู่


จนเมื่อเห็นมังกรม่วงวิ่งเข้ามาอย่างไว หลิน เฟิงก็เห็นว่าท่าไม่ดีแน่ ก่อนที่เขาจะโดนเตะกระเด็นออกไปในทันที


โครม! เกิดเสียงดังสนั่น มังกรม่วงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น 


ในขณะที่ร่างของหลิน เฟิงนั้นชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ข้างหลังจนรู้สึกปวดร้าวไปทั้งหลัง กระดูกที่มือหัก


“เจ้ามังกรม่วง นี่จะแกร่งเกินไปแล้ว” หลิน เฟิงล้มลงกับพื้น พลางรู้สึกตกใจไม่น้อยและก็ได้รู้ว่าเขาคงไม่เหมาะที่จะสู้กับมันแน่ๆ


ในขณะที่หลิน เฟิงอยู่ที่พื้น เขาก็รู้ได้เลยว่ามังกรม่วงแข็งแกร่งเกินไป และเขาคงไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมัน เขาเลยหันหน้าหนีก่อนจะวิ่งออกไป 


แต่ในขณะที่กำลังจะเริ่มหนี ก็มีสองมือจับเขาไว้ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั่นเอง


“อย่าเพิ่งไป ช่วยฉันก่อน” ชายในชุดธรรมดาเอ่ยขึ้น


“ใช่ แถมเอาหินวิญญาณ​ไปตั้งเยอะด้วย นายจะหนีไปแบบนี้โดยไม่ช่วยพวกเราไม่ได้” เด็กหนุ่มในชุดดำเอ่ยขึ้นอีก


หลิน เฟิงถูกชายทั้งสองคนยื้อยุดเอาไว้จนไม่สามารถขยับตัวไปได้ชั่วขณะ ในขณะเดียวกันนั้นเอง มังกรม่วงก็เร่งเข้ามาเรื่อยๆ


“ปล่อย!” 


หลิน เฟิงถึงกับอึ้งไป ส่วนร่างของชายทั้งสองคนสั่นสะท้าน และในตอนนี้เอง มังกรม่วงก็เร่งเข้ามา ก่อนที่กรงเล็บอันแหลมคมจะตวัดเข้ามาที่หลิน เฟิง


“อาวุธวิญญาณ มีดแหลม” ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงก็คว้าอาวุธออกมาอย่างรวดเร็วจากในแหวนอวกาศซึ่งถือว่าเป็นอาวุธดาบวิญญาณระดับกลาง ที่ทั้งยาวและหนาเอาการ อีกทั้งยังหนักสุดๆ พร้อมกับปล่อยแสงรัศมีสีเหลืองออกมา


“ฉับ”


เมื่อเห็นกรงเล็บยักษ์ที่โฉบลงมา หลิน เฟิงจึงจัดการแกว่งดาบออกไปก่อนจะฟันลงบนกรงเล็บนั้น


เมื่อคมดาบปะทะเข้ากับกรงเล็บยักษ์นั้น คลื่นพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก็แตกกระจาย ก่อนจะเผยช่องขนาดใหญ่จนร่างของหลิน เฟิงปลิวกระเด็นไป ในขณะที่มังกรม่วงถอยหลังไปแค่ไม่กี่ก้าว


เมื่อเห็นแบบนั้น หลิน เฟิงก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาครู่หนึ่ง อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าการที่จะเอาชนะมังกรม่วงตัวนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้น หลังจากตกลงมาบนพื้น เขาจึงรีบวิ่งเพื่อที่จะออกนอกถ้ำสุดชีวิต


เมื่อเห็นว่าหลิน เฟิงวิ่งไปไกลแล้ว มังกรม่วงก็ไม่ได้ตามออกไปในทันที แต่มันกลับหันไปให้ความสนใจชายหนุ่มทั้งสองคนที่นอนอยู่บนพื้นนี้แทน ก่อนจะกระโดดไปบนร่างพวกนั้น


ข้างนอกถ้ำนั้น ในขณะที่หลิน เฟิงวิ่งออกมา เขาก็ได้ยินเสียงร้องลั่นจากข้างในถ้ำ แค่นี้หลิน เฟิงก็รู้ได้ถึงจุดจบของทั้งสองคนแล้วว่าจะเป็นอย่างไร


จนตอนนี้ หลิน เฟิงก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะมังกรม่วงได้เลย เพราะหลักๆแล้วมันมักจะอยู่ในถ้ำ ที่มีพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยม แถมมันยังสามารถดูดซับพลังวิญญาณที่มีอยู่อย่างมหาศาลในถ้ำนี้ได้ด้วย เรื่องจะที่ทำให้มันตายคงเป็นไปไม่ได้ แถมยังจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังกายไปโดยเปล่าประโยชน์ อีกต่างหาก


ทันทีที่หลิน เฟิงวิ่งมาถึงปากถ้ำ เขาจึงได้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายนั้นหยุดสู้กันเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนจะพากันเดินเข้ามาในถ้ำ


แต่ทว่า ในตอนนี้ เมื่อหลิน เฟิงเดินออกมา ดาบในมือของเขาก็แบะออกจากกันทันที


ทันใดนั้นเอง ผู้คนก็แยกตัวกันออกไป


กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำว่าหลิน เฟิงออกมาจากถ้ำ แล้วทำไมถึงมีแค่คนๆเดียวที่ออกมาจากถ้ำกันล่ะ


แล้วผู้นำกลุ่มของพวกตนล่ะ ในขณะที่พวกเขากำลังสับสนอยู่นั้นเอง จู่ๆถ้ำก็สั่นสะเทือนราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมา


“เผ่น” หลิน เฟิงเดินมาที่พวกเขาทั้งสามก่อนจะว่าเสียงลั่น


พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ได้แต่นิ่งอึ้งไปพักนึง แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ พวกเขาก็ได้เห็นว่าเหมือนมีอะไรม่วงๆออกมาจากในรู ก่อนจะฟาดทุกคนที่อยู่ในนั้น แล้วเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น


เมื่อเห็นแบบนั้น ถึงตอนนี้จะยังไม่เข้าใจ แต่พวกเขาก็ไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้การหลบหนีต่างหากที่สำคัญที่สุด


คนพวกนั้นชะงักไปเล็กน้อยกว่าจะเริ่มก้าวเท้าหลบหนีกัน โดยหลังจากวิ่งมาครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดต่างก็หยุดก่อนจะหอบหายใจแฮ่กๆ


“เจ้าบ้า มีอะไรในนั้นกันน่ะ” ตู๋กังถามขึ้นพลางหอบ


ส่วนชายอีกสองคนก็ยื่นหน้าเข้ามาฟัง ดูเหมือนพวกเขาคงอยากจะได้ยินว่าหลิน เฟิงได้สมบัติอะไรมาบ้างหรือเปล่า


“ในนั้นมีผู้ใช้พลังระดับ S สองคนกำลังต่อสู้กับสัตว์วิญญาณม่วงอยู่ ตัวเดียวกับที่พวกนายเห็นนั่นล่ะ มันแข็งแกร่งมาก สองคนนั้นแพ้และตายไปแล้ว เลยต้องหนีมากันแบบนี้นี่ล่ะ” หลิน เฟิงเอ่ย


“แล้วในนั้นมีสมบัติอะไรบ้าง” จู่ ยี่เอ่ยถาม


“มีอยู่นะ มีหินวิญญาณอยู่หลายชิ้นเลย แถมยังมีสัตว์วิญญาณคุ้มครองอยู่ด้วย เลยเอามาไม่ได้ซักอย่างเลย และในถ้ำนั่น สัตว์วิญญาณตัวนั้นก็สามารถดูดซับพลังวิญญาณของถ้ำเพื่อใช้ต่อสู้ได้ด้วย เลยฆ่ามันไม่ได้เลย” หลิน เฟิงว่า จริงครึ่งโกหกครึ่ง


เมื่อพวกนั้นได้ยินว่าในนั้นมีหินวิญญาณอยู่ พวกเขาก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาในทันที แต่เมื่อได้ยินว่ามันสามารถดูดซับพลังวิญญาณในนั้นได้ด้วยนั้น แถมชายผู้มีพลังระดับ S ทั้งสองคนยังตายในระหว่างการต่อสู้ด้วยอีก พวกเขาเลยหยุดคิดที่จะไปต่อ


จริงๆแล้ว หลิน เฟิงไม่ได้บอกพวกนั้นว่ามีหินวิญญาณ​ข้างใน เพราะถ้าบอกพวกเขาไปว่ามีหินวิญญาณ​ชั้นสูงอยู่ คนพวกนี้ก็จะต้องไปแน่ๆถึงรู้ว่าจะต้องตายก็ตาม


หลิน เฟิงเลยไม่ได้บอกพวกเขาไปว่าตัวเขาได้หินวิญญาณ​ชั้นสูงมา เพราะถ้าได้รู้เข้าล่ะก็ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ตามมาแน่ๆ


ยิ่งไปกว่านั้น หลิน เฟิงเองก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกับสองคนนี้ด้วย ใครจะไปรู้ล่ะว่าสองคนนี้มีคนคอยหนุนหลังไว้อยู่หรือเปล่า และถ้าพูดอะไรออกไป พวกนี้อาจจะแทงข้างหลังพวกเขาในช่วงเวลาวิกฤติขึ้นมาก็ได้


“แล้วตอนนี้พวกเราจะไปไหน” จู่ ยี่ถามขึ้น


“เอาล่ะ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเลย ฉันเห็นว่ายิ่งมุ่งไปทางนี้มากขึ้นเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น” หลิน เฟิงว่าขึ้นเบาๆ


“แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาพักกันก่อน ปรับสภาพร่างกายตัวเองให้ดีที่สุด” หลิน เฟิงนั่งไขว้ขาบนพื้นก่อนจะเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ


ตอนที่หลิน เฟิงกำลังต่อสู้กับมังกรม่วงอยู่ในถ้ำ เขาก็ได้ใช้พลังวิญญาณออกไปด้วยบางส่วน นอกจากนี้ เขาก็ได้ใช้พลังวิญญาณไปมากในขณะที่วิ่งไปตลอดทางอีกด้วย


ดังนั้น หลิน เฟิงจึงต้องปรับสภาพร่างกายให้ดีที่สุดเมื่อต้องเดินทาง เพื่อที่จะให้พร้อมกับการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆก็ตาม


อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ในขณะที่กำลังเดินไปอยู่นั้น ท้องฟ้าข้างบนก็ค่อยๆเป็นสีดำ ราตรีกาลค่อยๆเข้ามาเยือน


“มืดลงแล้ว พวกเราต้องหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักในตอนกลางคืน” หลิน เฟิงมองไปยังท้องฟ้าก่อนจะเอ่ยขึ้น


“งั้นลองมองไปรอบๆว่ามีถ้ำหรืออะไรแบบนั้นอยู่แถวๆนี้ไหม” จู่ ยี่มองไปก่อนจะเอ่ยขึ้น


พวกเขาจึงออกหาถ้ำแถวๆนั้น แต่ทว่าหาไปตลอดทางก็ไม่เจอจนเริ่มมืดมากแล้ว


ในตอนนี้ ท้องฟ้าเริ่มสลัวมากขึ้น ดาวบนฟ้าเริ่มปรากฏขึ้นเหนือหัวเพื่อให้แสงสว่างแก่ยามค่ำคืนนี้


ในขณะที่กำลังหาถ้ำอย่างกระวนกระวาย ทันใดนั้นเองเสียงลมพัดหวีดหวิวก็แว่วมาให้สัมผัสถึง และนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกขึ้นไปอีก


“เหมือนจะมีอะไรมาที่พวกเรานะ เตรียมใจไว้ด้วย”  การรับรู้ของหลิน เฟิงนั้นแม่นยำที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน เพราะคนที่สัมผัสถึงความผิดปกติได้ในตอนแรกที่เจอกัน ก็เป็นหลิน เฟิงนี่ล่ะ


“นี่ไงล่ะ ราวกับว่าจะมาจากทุกทิศทางเลย” ในตอนนั้นเอง ตู๋กังก็รู้สึกถึงสิ่งนั้นด้วย


จากนั้น ต่อหน้าพวกเขาทั้งสี่คนก็มีแสงเย็นเผยขึ้นมาทีละน้อย เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนจึงทำให้เห็นมันได้ชัดขึ้น


“โบร๋ว” พลันก็มีเสียงหอนดังขึ้นมา พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที


ดวงตาไม่กี่คู่ปรากฏขึ้นในตอนนั้นเอง แต่จริงๆก็คงจะต้องมีมากกว่านั้นแน่ๆ


“นี่มันหมาป่านรกนี่...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น