RC:บทที่ 317 จุดกำเนิดของดินแดนเร้นลับ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 317 จุดกำเนิดของดินแดนเร้นลับ


ในขณะที่พวกเขาหันหลังกลับมา ก็เห็นว่าหลิน เฟิงและตู๋ กังวิ่งไปตั้งนานแล้ว ในตอนนี้พวกเขานึกเสียใจที่ไม่ได้หนีไปกับหลิน เฟิงตั้งแต่แรก


ในตอนนี้ ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา นั่นก็คือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตสีดำที่ดูเหมือนกลุ่มมดดำขนาดใหญ่เบียดเสียดกัน มดพวกนี้มีความสูงราวๆห้าสิบหรือหกสิบเซนติเมตร และยาวถึงหนึ่งหรือสองเมตร


จำนวนของพวกมันน่ากลัวมาก มีมาเป็นหมื่นๆตัว


ไม่ว่าใครที่ถูกลากเข้าไปในดงมดมรณะนี้ ก็คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแน่ๆ


หลิน เฟิงมองไปที่จำนวนมดอันน่าสะพรึงที่ตามหลังเขามา แม้ว่ามดและสัตว์วิญญาณจะไม่ได้เป็นสัตว์ระดับสูง ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ C บางตัวก็ระดับ B และมีไม่กี่ตัวที่อยู่ในระดับ A  แต่ทว่าจำนวนของมันนี่สิที่น่าสะพรึงกลัว


แม้แต่ความเร็วของหลิน เฟิงเองยังไม่สามารถหนีความเร็วที่มดข้างหลังวิ่งมาได้ทันเลย


“ไม่ได้การละ เราจะวิ่งแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ อันเชิญสัตว์คู่ใจออกมาแล้วหนีไปบนฟ้า” หลังจากพูดจบ หลินเฟิงก็ได้ปลดปล่อยมังกรแสงออกมาในทันที ก่อนที่มันจะพาเขาและตู๋กังทะยานขึ้นไปบนฟ้า


“ปลดปล่อยสัตว์คู่ใจของนายออกมา แล้วก็บินหนีไปซะ ไม่งั้นพวกนายจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นกลางอากาศ


หลิน เฟิงไม่ได้พูดเล่น กองทัพมดเป็นหมื่นๆนั้นยาวราวๆหนึ่งเมตร แถมตัวที่มาข้างหลังก็ตัวใหญ่เอาการราวๆสามหรือสี่เมตรได้ ตัวนั้นน่าจะอยู่ระดับ B หรือระดับ A เลยทีเดียว


ในขณะที่จู่ ยี่กับป่าเต๋านั้นไม่มีประสบการณ์มากพอ ถึงแม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับ S แต่เมื่อได้เผชิญกับศัตรูร้ายที่ดาหน้าเข้ามา พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือได้เลย


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลิน เฟิง ทั้งสองจึงได้สติขึ้นมาในทันที คิ้วของจู่ ยี่สว่างขึ้นก่อนที่อีกาดำตัวใหญ่จะบินออกมา


กา กา


กาตัวดังกล่าวนั้นสูงกว่าหนึ่งเมตร ปีกของมันนั้นยาวมากกว่าสี่หรือห้าเมตรเลยทีเดียว จนดูราวกับนกยักษ์ ในขณะที่อีกาส่งเสียงร้องออกมา พลางพาร่างทั้งสองคนนั้นบินขึ้นไปบนฟ้า


เมื่ออีกาตัวดังกล่าวบินเข้ามาใกล้พวกตน หลิน เฟิงจึงได้รู้ว่าทำไมจู่ ยี่จึงให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับไม่สบายใจแก่หลิน เฟิง นั่นก็เพราะเขานั้นเคยเห็นสัตว์วิญญาณตัวนี้มาก่อน ซึ่งมันก็คืออีกาดำมรณะนั่นเอง


ตอนที่หลิน เฟิงยังเป็นมือใหม่และอ่อนแออยู่นั้น เขาก็ได้เผชิญกับชายผู้มีพลังระดับ B ที่เข้ามาโจมตีในตอนกลางคืนที่สถานีตำรวจอำเภอจิ้งเฟิง อีกาตัวดังกล่าวนั้นมีพลังเต็มเปี่ยม พลังของมันคือเนตรมรณะ พลังโจมตีทางวิญญาณสุดแข็งแกร่ง


ในตอนนั้น ถ้าหลิน เฟิงไม่ได้มังกรดำช่วยเขาหยุดการโจมตีนั้นไว้ล่ะก็ หลิน เฟิงคงจะตายไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ดังนั้น เมื่อหลิน เฟิงหันไปมองจู่ ยี่ทีไร เขาก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจทุกที


“ฮู่ กลัวแทบตายแหนะ จู่ๆก็มีกองทัพมดยักษ์โผล่มา นี่ถ้าเข้าไปในนั้นล่ะก็ แม้แต่กระดูกก็คงไม่เหลือแน่” ชายคนที่นั่งอยู่บนอีกายักษ์ในตอนนี้มีสีหน้าที่ยังตกใจขณะที่พูด


ในตอนนี้ สายตาของทั้งสองคนที่มองมาที่หลิน เฟิงนั้นต่างไปจากเดิมเล็กน้อย นี่ถ้าไม่ได้หลิน เฟิงเตือนล่ะก็ พวกเขาคงตายในดงมดยักษ์นั่นไปแล้ว


จากเดิมที่พวกเขาสองคนดูมีท่าทีไม่เชื่อ แต่พอมาตอนนี้กลับมีท่าทีดูเชื่อฟังมากขึ้นและไม่ต่อต้านคำสั่งของหลิน เฟิงเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว


หลังจากรอให้กองทัพมดผ่านไป หลิน เฟิงกับพวกที่เหลือก็ลงมาที่พื้น  และในตอนนั้นเองก็ได้เห็นว่าตามทางนั้นเหี้ยนเตียนไปตลอดทาง


“แล้วตอนนี้พวกเราจะต้องทำอะไรต่อล่ะ จะต้องไปไหน” ในครั้งนี้ จู่ ยี่ก็ได้ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง


 “ไม่รู้ว่านายจะเห็นไหมว่าพลังวิญญาณที่นี่ดูเหมือนจะเข้มข้นกว่าพลังวิญญาณของสถานที่ที่พวกเราเคยอยู่กันน่ะ” หลิน เฟิงถามขึ้น


ทั้งสามคนเมื่อได้ฟังแบบนั้นก็เงียบไป แล้วหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาจึงตอบกลับมา “อาฮะ”


“ฉะนั้น เราจะต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกกันต่อ” หลิน เฟิงพูดขึ้น ก่อนที่จะเดินนำไป


ตลอดทางที่เดินไปนั้น ทั้งสี่คนก็เดินไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก


หลังจากที่เดินกันมาได้สักพัก หลิน เฟิงก็ได้เอ่ยถามขึ้น “พวกนายรู้อะไรเกี่ยวกับแดนเร้นลับแห่งนี้บ้าง”


ชายทั้งสองคนนิ่งอึ้งไปสักพัก เพราะคาดไม่ถึงว่าหลิน เฟิงจะถามคำถามแบบนี้


จู่ ยี่จึงตอบไปว่า “ก็พอรู้มาบ้างนะ แต่มันเป็นเรื่องที่เขาเล่าๆกันมาทั้งนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”


“นายรู้อะไรมาก็ช่วยบอกด้วย มันอาจจะเป็นประโยชน์ในภายหลังก็ได้” หลิน เฟิงคิดถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมา


ไหนๆตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น การได้รู้อะไรมากขึ้นก็น่าจะดีกว่า


“แล้วนายอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะ” จู่ ยี่เอ่ยถาม


“เล่าความเป็นมาของแดนเร้นลับนี้ให้ฟังทีสิ” หลิน เฟิงเอ่ยขอ


หลิน เฟิงไม่รู้เรื่องถึงความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้เลย ดังนั้น เมื่อตัวเขามาถึงที่นี่ก็ถึงกับสับสน แล้วอีกอย่าง ที่เขามานั้นก็เพื่อจุดประสงค์ในการที่จะหาประสบการณ์และออกมาเจอโลกภายนอก


“เขาว่ากันว่าสถานที่เร้นลับแห่งนี้นั้น เมื่อ 15 ปีก่อนจู่ๆก็โผล่ขึ้นมา และจะเปิดให้เข้าทุกๆห้าปีเป็นเวลาหนึ่งเดือน และนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วด้วย ลักษณะของสถานที่เร้นลับจะเป็นลักษณะยุคโบราณที่มนุษย์ผู้เจริญอย่างเราๆนั้นจะตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อป้องคนคนภายนอกเข้ามา หรือป้องกันบางสิ่งออกไปสู่โลกภายนอก”


“หรือจะพูดง่ายๆก็คือ ห้ามสิ่งที่อยู่ข้างนอกเข้ามาและป้องกันไม่ให้ข้างในออกไปข้างนอกนั่นเอง” จู่ ยี่อธิบาย


“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น” หลิน เฟิงถามขึ้น


“ในยุคโบราณ มีคนกล่าวกันว่ามีปีศาจและคนเป็นอหิวาตกโรค บุคคลสำคัญบางคนจึงได้ปกปิดช่องทางในการที่กำจัดสิ่งเหล่านี้ไว้ แต่นี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของผู้คนเท่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันคืออะไรกันแน่” จู่ ยี่ว่าขึ้นในขณะที่เดินไป


พวกเขาเดินไปก็พูดไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายจะค่อยๆผ่อนคลายลงอย่างมาก


แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ เสียงกระทบกันของดาบก็ดังขึ้นมาในทันที ราวกับว่ามีใครกำลังต่อสู้กันอยู่


“เหมือนข้างหน้าจะมีใครสู้กันอยู่เลย ไปดูกันเถอะ” หลิน เฟิงเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะพูดกับทุกคน


ทันใดนั้นเอง ทั้งสี่คนก็เดินตามกันไปติดๆอย่างเงียบเชียบ


ต่อมา พวกเขาจึงได้เห็นว่ามีคนจากทั้งสองฝั่งกำลังต่อสู้กันอยู่ ฝ่ายหนึ่งใส่ชุดคลุมสีดำล้วน ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นกลุ่มคนที่ใส่ชุดธรรมดา


ทั้งสองฝ่ายมีคนประมาณสิบคน และสถานที่ที่พวกเขาสู้กันนั้น ก็มีถ้ำใหญ่ถ้ำหนึ่งที่ทั้งมืดและมองอะไรไม่เห็นเลย


“คนพวกนี้สู้กันทำไม เรื่องสมบัติหรือเปล่า” หลิน เฟิงนึกสงสัย


“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมบัติหรือไม่ แต่เมื่อไหร่ที่ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมมาเจอกันล่ะก็ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องจัดการกันให้ถึงที่สุด” ในตอนนั้นเอง  จู่ ยี่ก็ได้กล่าวขึ้น


“ฝ่ายธรรมะงั้นหรือ” เมื่อหลิน เฟิงได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกงง


“ใช่ พวกเรานี่ไงฝ่ายธรมะ ผู้ที่นำพาเราก็คือราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพวกกองกำลังมืดนั้นจะเรียกว่าฝ่ายอธรรม ผู้ที่นำพาก็คือองค์กรมืดทั้งสามแห่ง ถ้าพวกเขาทำภารกิจไม่สำเร็จลุล่วงล่ะก็ แม้แต่ความเมตตาปรานีก็จะไม่มีให้” จู่ ยี่เอ่ยต่อ


หลังจากได้ฟังเรื่องดังกล่าวแล้วนั้น หลิน เฟิงก็ถึงกับส่ายหน้า เพราะเขาไม่เคยมองว่าตนเองเป็นฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมเลย และเขาก็ไม่ต้องการที่จะเป็นอะไรทั้งนั้นเลยด้วย


“ทำไมเราต้องไปเป็นฝ่ายไหนด้วย ปล่อยให้พวกนั้นสู้กันไปเถอะ แต่ที่แน่ๆอย่ามายุ่งกับพวกเราก็แล้วกัน” หลิน เฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ


“แล้วเราจะทำอย่างไรดี พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ตรงนี้ แล้วอะไรจะอยู่ในถ้ำ นายไม่อยากเห็นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงเราจะเจอกับพวกกองกำลังฝ่ายมืดแล้วไม่ฆ่าพวกนั้น พอถึงเวลาที่พวกมันมาเจอนาย พวกมันก็ไม่ปรานีเหมือนกันนั่นแหละ” จู่ ยี่เอ่ย


หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น หลิน เฟิงก็รู้สึกว่านั่นก็มีความจริงอยู่บ้าง จริงๆแล้ว เขาก็กำลังมองอยู่ว่าในถ้ำมีอะไร แต่เพราะมีการต่อสู้อยู่ ก็ช่างมันปะไร หลิน เฟิงต้องการใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะแม้เขาจะช่วยให้กองกำลังมืดไปให้พ้นทางได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะได้สิ่งที่อยู่ในถ้ำแน่ๆ


“งั้นในระหว่างที่พวกนั้นสู้กันอยู่ เราก็หาโอกาสไปดูอะไรข้างในกันเถอะ...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น