RC:บทที่ 314 ชะมดเงาผู้แสนว่องไว

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 314 ชะมดเงาผู้แสนว่องไว


หลังจากที่เห็นแบบนั้น หลิน เฟิงจึงได้รู้ว่าถ้าเขากับเพื่อนยังคงอยู่ตรงนี้ต่อไป คงได้เกิดการโต้เถียงกันนานกว่านี้เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงเสนอตัวว่าจะเดินออกไปเอง เพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียงนานกว่านี้


เมื่อได้ยินหลิน เฟิงกล่าวเช่นนั้น อู่หยางก็ถึงกับอึ้ง พลันรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างมาก “นี่ นี่...”


แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หลิน เฟิงก็ไม่ได้นึกตำหนิอะไรเขา เขาเดินไปพลางตบไหล่ของเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกน่า”


“ตู๋กัง ไปกันเถอะ” หลิน เฟิงยิ้มออกมานิดๆ ก่อนจะเรียกตู๋ กัง แล้วจากนั้นจึงพากันเดินออกไป


“น้องหลิน เดี๋ยว”


เพียงแค่เห็นหลิน เฟิงกับตู๋กังเดินออกไป อู่หยาง หมิงลั่วก็ถึงกับคราง


จากนั้น อู่หยาง หมิงลั่วจึงได้เล่าให้หลิน เฟิงฟังเกี่ยวกับเรื่องราวมากมายในสถานที่เร้นลับแห่งนี้ หลิน เฟิงสั่นศีรษะก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณที่บอกเรื่องราวมากมายให้กับผม โชคดีนะครับ” 


หลังจากนั้น หลิน เฟิงกับตู๋ กังก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง


“เจ้าบ้า ทำไมนายไม่คิดจะสั่งสอนคนพวกนั้นสักหน่อยล่ะ หืม ไอ้หมาพวกนั้นมันช่างดูถูกคนอื่นเสียจริง” จนถึงตอนนี้ ตู๋ กังยังยัวะไม่หาย


หลิน เฟิงเพียงแค่ยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าไป “นายจะสู้ไปเพื่ออะไร สู้เราไม่ต้องร่วมมือ จากที่เราต้องตัวติดกับพวกนั้น สู้เดินออกมาอิสระแบบนี้ดีกว่า”


“ฉันก็แค่โกรธที่เจ้าพวกนั้นมาดูถูกคนอื่นน่ะ” ตู๋ กังว่าอย่างโกรธๆ


“ไม่เป็นไรน่า เราก็ไปตามทางของเรา นี่ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าที่เร้นลับแห่งนี้จะได้กินฉันน่ะ” หลิน เฟิงกล่าว


พวกเขาเดินมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยที่ไม่พบใครเลย จนเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อย แล้วในขณะที่กำลังจะนั่งพักอยู่นั่นเอง จู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องลั่นดังมาจากข้างหน้าซึ่งบ่งบอกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่กำลังจะเข้ามา


“เสียงข้างหน้านี่ไม่น่าใช่เรื่องเล็กๆแล้ว” ตู๋กังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อครู่อู่หยาง หมิงลั่วบอกว่าที่นี่จะมีสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายของยุคโบราณอยู่ด้วย แถมพละกำลังของพวกมันก็ดุดันและทรงพลังอีกด้วย ต้องระวังแล้วล่ะ” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นขณะที่กำลังเดินไป


“ไปดูกันเถอะ” หลิน เฟิงและตู๋ กังต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพิงกันอยู่เงียบๆ


แล้วไม่นาน พวกเขาจึงได้เห็นกลุ่มคนที่ว่านั่นตรงหน้า คนพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่มีพลังธรรมดา ประมาณสิบคน ส่วนคนที่มีพลังมากสุดก็คงจะเป็นพลังระดับ A ขั้นสูงสุด ส่วนที่อ่อนสุดก็คงจะเป็นระดับ B ขั้นต้น


ในตอนนั้นเอง เหตุการณ์ยังคงเกิดตามมาอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าพวกเขาก็กำลังปกป้องอะไรบางอย่างอยู่ มีคนสี่คนนอนอยู่ที่พื้นข้างๆพวกเขา และตอนนี้ก็เหลือแค่แปดคน พวกเขาต่างกระวนกระวายและหวาดกลัว


หลิน เฟิงมองไปที่พวกเขาก็ไม่เห็นว่ามีอะไร


“แง่ว”


ทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงขู่คำรามดังก้อง แล้วร่างของสิ่งมีชีวิตสีดำก็ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตาเดียว และเร็วมากเสียจนทำอะไรไม่ทัน


ทั้งสองคนนั้นยืนตัวสั่น จนมันผ่านร่างของผู้มีพลังระดับ B ทั้งสองไปในชั่วพริบตา จากนั้นทั้งสองคนก็รู้สึกปวดที่บริเวณคอ ก่อนที่เลือดจะพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะล้มลงกับพื้น แต่กลับไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว


ทันทีที่ร่างมืดนั้นเข้าโจมตี มันก็ได้หลบหายไปในพงหญ้า


และก็ไม่ได้เห็นมันแล้ว


“เสี่ยวกัง เสี่ยวหยู” ผู้มีพลังระดับ B ทั้งสองล้มลง พวกเขาทั้งหมดต่างโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง จนเข้าสับหญ้าตรงหน้าเป็นชิ้นๆ


“ไอ้สัตว์ร้าย ออกมาสิ ออกมาเลย”


แต่ทว่าร่างมืดดังกล่าวก็หายไปนานเลยทีเดียว


“เจ้าบ้า นายเห็นร่างดำนั่นไหม” ตู๋กังเองก็ถึงกับอึ้ง


“ไม่เลย เจ้านั่นมันไวเกินไป คาดไม่ถึงเลยนะว่าเข้ามาได้แป๊บๆก็ได้มาเจอเรื่องประหลาดแบบนี้เลย” หลิน เฟิงจ้องมองพลางนึกประหลาดใจ


“และฉันก็ไม่รู้สึกว่าลมหายใจจากร่างมืดนั้นจะมากมายสักเท่าไหร่เลยด้วย อย่างมากสุด ก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเด็กมัธยมปลายน่ะ แต่ก็ถือว่ารวดเร็วมากจนหาตัวจับยากเลย แถมมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรงเล็บแหลมคมอีกต่างหาก” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นตามที่ตนคิด


“เราควรไปช่วยดีไหม” ตู๋กังเอ่ยถาม


“อย่าเพิ่งเลย เรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ของสัตว์วิญญาณมันเป็นแบบไหนกันแน่ หุนหันไปไม่ใช่เรื่องดีหรอก ถ้าเจ็บตัวทีหลังจะแย่เอา” จริงๆ หลิน เฟิงกับตู๋กังก็พอจะช่วยได้อยู่หรอก


แต่ทว่าในห้วงที่อันตรายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายมากมายแค่ไหนที่รออยู่ ถ้าเผลอเข้าไปช่วยส่งๆล่ะก็ เจ็บขึ้นมาได้ซวยกันยกแผงล่ะงานนี้


และในสภาพแวดล้อมเร้นลับเช่นนี้ สัตว์วิญญาณทุกตัวจะได้รับการปกป้อง แต่หลิน เฟิงรู้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการปกป้องชีวิตของมนุษย์


“ระวัง”


ในขณะที่หลิน เฟิงกับตู๋กังกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ร่างดำก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และในตอนนี้มันก็เข้าไปโจมตีผู้มีพลังระดับ A ขั้นต้น


มันเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้าเป็นรูปตัวเอสจากซ้ายไปขวาด้วยความว่องไวมาก บอกไม่ได้เลยว่ามันอยู่ด้านไหน


ในตอนท้าย ผู้มีพลังระดับ A ก็เข้าสับร่างที่อยู่ตรงหน้าของเขาเข้าเต็มๆ และน่าประหลาดใจนักที่ดาบนั้นสามารถผ่าร่างของร่างมืดนั้นได้


เหมียว!!


พลันก็เกิดเสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างดำนั้นถึงกับถอยก่อนจะชนเข้ากับต้นไม้ข้างหลัง


และนี่คือสิ่งที่ผู้คนได้เห็น แมวดำตัวใหญ่ สูงประมาณสามสิบหรือสี่สิบเซนติเมตรได้ และยาวประมาณหนึ่งเมตร


ดวงตาของแมวตัวนี้เป็นสีดำสนิท ไม่มีแม้กระทั่งตาขาว


ยิ่งไปกว่านั้น กรงเล็บของแมวตัวใหญ่ตัวนี้ก็ไม่อาจปิดบังเนื้ออุ้งเท้าในแบบที่แมวบ้านมีกันอีกด้วย และเนื้อส่วนนั้นเมื่อโผล่ออกมาข้างนอก กลับยาวและแหลมคม แถมยังปล่อยแสงสีขาวออกมาอีกด้วย


เมื่อหลิน เฟิงเห็นว่ารูปร่างของมันเป็นอย่างไรนั้น ส่วนของความจำในระบบหลุมวนสีดำก็ทำงานขึ้นมาอัตโนมัติ ก่อนที่ข้อมูลของแมวดำในจิตของเขาจะโผล่ขึ้นมา


‘ชะมดเงาผู้แสนว่องไว เป็นตัวชะมดที่มีคุณลักษณะของความมืด การสั่งสมพลังอยู่ในระดับที่สูง มีความว่องไวสูงและเป็นหนึ่งในชะมดที่ว่องไวที่สุดอีกด้วย ส่วนช่วงเวลาที่มีชีวิตก็คือยุคโบราณ ส่วนพละกำลังก็ไม่ใช่ย่อยๆ แต่ทว่าความเร็วของมันก็มีจุดอ่อนอยู่ตรงที่จะเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 วินาทีแต่ต้องรอเป็นเวลาครึ่งนาทีก่อนที่ความเร็วจะกลับมาเพิ่มอีก’ 


“อย่างงี้นี่เอง ก็ต้องรอสักพักเพื่อโจมตีกลับไปใช่ไหม”


เมื่อหลิน เฟิงได้เห็นแบบนั้น เขาก็นึกประหลาดใจพลางกล่าวกับตู๋กัง “ ฉันรู้จุดอ่อนของเจ้านี่แล้ว”


“จุดอ่อนงั้นหรือ จุดอ่อนคืออะไร”


“สัตว์วิญญาณประเภทนี้เป็นสัตว์วิญญาณในยุคโบราณ ทั้งยังว่องไวเอาการ แต่มันมีจุดอ่อนอยู่ ถึงความเร็วจะเป็นความสามารถของมัน และทักษะความเร็วนั้นจะเพิ่มขึ้นภายใน 10 วินาที แต่มันก็ต้องรอเป็นเวลาครึ่งนาทีถึงจะใช้ความเร็วนั่นได้อีกครั้ง” หลิน เฟิงอธิบายให้ตู๋กังฟัง


“เข้าใจละ ถ้าจะให้พูดก็คือ ภายในครึ่งนาที มันจะกลายเป็นสัตว์วิญญาณธรรมดาทั่วไป ถ้าตราบใดเราเข้าจัดการมันในตอนนั้นล่ะก็ มันคงมีความเร็วไม่มากแล้วสินะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นตู๋กังจึงเข้าใจในทันที


“ใช่แล้วล่ะ เจ้านี่มันจะดำดินลงไปทุกครั้งหลังจากที่สู้แต่ละที พอถึงตอนนั้นเราค่อยโจมตีมันคืน....”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น