RC:บทที่ 312 ทยอยกันมาเรื่อยๆ
หลิน เฟิงกับตู๋ กังนั้นต่างไม่พอใจ ก่อนจะปลีกตัวออกมา อีกทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่พวกเขาต้องมาเจอหน้ากันแบบนี้ยิ่งไม่สามารถพูดอะไรได้เข้าไปใหญ่
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลิน เฟิงอึ้งไปก็คือตัวตนของหวัง ฮ่าวหมิงที่ทำให้ลูกหลานของเทียนเจาแห่งตระกูลอู่หยางนั้นต่างมีความเคารพในตัวเขา แสดงว่าสถานะก่อนหน้านี้ของหวัง ฮ่าวหมิงในตระกูลอู่หยางดูไม่น่าจะใช่ธรรมดาแน่ๆ
ในตอนนี้เอง หลิน เฟิงจึงได้เข้าใจว่าทำไมหวัง ฮ่าวหมิงและเติ้ง เทียนฝูจึงสามารถเปิดสาขาต่างๆได้หลายจังหวัดภายในระยะเวลาแค่สามเดือน ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นมาในทันที
ต้องเป็นอำนาจจากครอบครัวที่คอยหนุนหลังพวกเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ผู้คนก็คงไม่ได้นึกเกรงกลัวและนี่ยังลดปัญหาไปได้มากมายด้วยอานิสงส์ของชื่อเสียงตระกูล นอกจากนี้ ด้วยเครือข่ายที่กว้างขวาง การที่จะเปิดสาขาไปได้ทั่วเมืองชายฝั่งทะเลทางใต้ภายในสามเดือนนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“ดูนั่นๆ ตระกูลหนานกงมากันแล้ว” ในตอนนั้นเองก็มีคนตะโกนขึ้นมา
เหลือบมองเพียงแวบเดียว หลิน เฟิงจึงได้เห็นผู้หญิงแปดคนในชุดคลุมเดินเรียงแถวตรงเข้ามาที่นี่ พวกเธอดูเป็นคนมีอำนาจและลมหายใจที่แสนจะคุ้นเคยอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้น หลิน เฟิงนั้นอยู่ไกลจากพวกเธอมากและยังเห็นอะไรไม่ได้ชัดนัก ก็เลยต้องรอจนกระทั่งพวกเธอเข้ามาใกล้และสังเกตดีๆอีกครั้ง ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับลมหายใจของคนๆหนึ่งมากขนาดนี้กันนะ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิน เฟิงจ้องไปที่ผู้หญิงทั้งแปดคนนั้น ทันใดนั้นเองคนๆหนึ่งก็เหมือนจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันมามองหลิน เฟิง ก่อนจะอึ้งไปในทันที
“มู่ซี่ เธอนำกลุ่มไปก่อนเลย ฉันมีบางอย่างต้องทำ” หลังจากนั้น ผู้นำกลุ่มคนทั้งแปดก็หายตัวไปในฝูงชนทันที ก่อนที่เสียงที่แสดงความแปลกใจจะดังขึ้น
“นี่ เธอเป็นอะไรไปน่ะ” กลุ่มผู้หญิงบางคนในนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องยุ่ง เธอมีหน้าที่อะไรก็ทำไป” หญิงสาวที่เดินนำหน้ากล่าว
หญิงสาวคนนี้ก็คือมู่ซี่ ส่วนผู้หญิงที่หายตัวไปนั้นได้มอบหมายให้เธอเป็นผู้นำกลุ่มชั่วคราวไปก่อน
“ค่ะ” เมื่อได้ยินในสิ่งที่มู่ ซี่พูด ทั้งหมดจึงหยุดพูดไปในทันที ก่อนจะเดินไปต่ออย่างเงียบๆ
“หืม ลมหายใจนั่นหายไปแล้ว” หลิน เฟิงรู้สึกสับสน เขารู้สึกถึงลมหายใจที่แสนคุ้นเคยในแปดคนนั้น แล้วจู่ๆก็มาหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ น่าแปลกใจจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หญิงสาวคนดังกล่าวขึ้นไปยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะจ้องไปที่หลิน เฟิง มองซ้ายมองขวาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา จากนั้นก็ถอนใจ “แล้วมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ หรือพวกเราจะถูกสาปให้มาข้องเกี่ยวกันอีก”
หลิน เฟิงคิดว่าตระกูลทั้งสิบมาถึงแล้ว ก็คงไม่มีใครอีกแล้ว ประตูของโบราณสถานลับก็น่าจะเปิดได้แล้ว
แต่หลังจากนั้น ก็มีคนอีกสามคนเข้ามา ด้วยลักษณะภายนอกที่ใส่ชุดสีเกือบไม่ก็ดำไปทั่วทั้งตัว
แล้วเขาก็ได้เห็นว่าผู้คนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้เริ่มมีอาการกระวนกระวายขึ้นมาเมื่อเห็นคนพวกนั้น
หนึ่งในนั้นว่าขึ้นด้วยเสียงต่ำ “คาดไม่ถึงเลยนะว่ากองกำลังมืดหลักทั้งสามจะยังมาด้วย”
“กองกำลังมืดทั้งสามงั้นหรือ” หลิน เฟิงถึงกับอึ้งไปเพราะเขารู้ถึงพลังของกองกำลังทั้งสามนี้
กองกำลังมืดทั้งสามคือองค์กรราตรี(มืด) องค์กรปีศาจ(ชั่วร้าย)และองค์กรวันวิบัติ(โลกาวินาศ)
นี่คือลักษณะขององค์กรทั้งสาม เสื้อของคนพวกนั้นจะเป็นแบบเดียวกัน เหมือนกับคนจากตระกูลทั้งสิบ
เสื้อผ้าขององค์ราตรีจะเป็นสีดำ บางครั้งก็มีจุดๆเป็นแสงดาวสุกสว่าง ส่วนขององค์กรปีศาจนั้นจะมีลายเป็นโครงกระดูกหลายอันบนตัวที่ยิ่งทำให้ดูชั่วร้ายมากขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าขององค์กรวันวิบัติจะเป็นรูปดวงอาทิตย์สีม่วงที่ยังวาดไม่เสร็จ
การปรากฏตัวขององค์กรมืดทั้งสามนั้นทำให้บรรยากาศรอบข้างรู้สึกกดดันไปหมด แต่ทว่าในตอนนี้ เมื่อมีคนจากตระกูลทั้งสิบอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว คนทุกคนจึงไม่ได้นึกเกรงกลัวใดๆ
ในเวลานี้ ภาพที่เห็นนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือพวกผู้ดีที่นำมาโดยตระกูลใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นคือกองกำลังมืดที่นำโดยสามองค์หลัก
ทั้งสองฝ่ายต่างสัมผัสถึงแรงกดดันได้ ขอแค่มีคำสั่งให้สู้พวกเขาก็จะลงมือในทันที
“นี่พวกคุณกำลังจะทำอะไร ลืมกฎที่ผมตั้งไว้เมื่อ 15 ปีก่อนแล้วงั้นหรือ” ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงก็ได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคย
เมื่อเหลือบไปมอง หลิน เฟิงจึงเห็นว่าคิ้ว ดวงดาว ดาบและดวงตาของชายกลุ่มนั้นมีจิตสังหารอยู่เต็มเปี่ยม นี่คงไม่ใช่ปีศาจรุ่นหนุ่มอย่างเจียน หนานเทียนที่เขาเคยพบในป่าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลทั้งสิบหรอกใช่ไหม
ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงยังได้ยินอีกว่าเขานั้นยังเป็นหนึ่งในผู้นำระดับรองๆขององค์กรหลักทั้งสามแห่งขององค์กรอาชญากรรมอีกด้วย นี่ไม่รู้ว่าผู้นำระดับรองจะมาที่นี่กันอีกกี่คน และในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิน เฟิงก็ได้หันไปมององค์กรที่เหลืออีกสององค์กร อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะมีคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเจียนหนานเทียนโผล่มาอีกหรือเปล่า
เมื่อพวกเขาได้ยินในสิ่งที่เจียนหนานเทียนกล่าว พวกเขาก็ต่างผ่อนคลายลงก่อนจะเก็บอาวุธกลับไป
“กฎเมื่อสิบห้าปีที่แล้วงั้นหรือ กฎอะไรน่ะครับ” หลิน เฟิงถามหวัง ฮ่าวหมิง
“กฎก็ง่ายๆเลย น้องหลิน การที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่ลับนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม” ยังไม่ทันที่หวัง ฮ่าวหมิงจะตอบ อู่หยาง หมิงหลัวก็เป็นคนตอบก่อน
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ” หลิน เฟิงตอบไป
หลิน เฟิงเองก็เห็นว่าคนดังจากตระกูลอู่หยางนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก และดูพวกเขาจะเข้ากันได้ดีกันด้วย แต่ไม่ใช่กับคนอื่นๆที่คอยดูถูกตลอด
“เอาล่ะ ทุกคน ได้เวลาเปิดโบราณสถานลับแล้ว ให้ยืนถือเหรียญโบราณนั้นไว้ แล้วเรามาเปิดประตูเข้าที่นี่ด้วยกัน และถ้าว่ากันตามกฎแล้ว บุคคล ครอบครัวหรือกองกำลังที่มีเหรียญโบราณนั้นจะสามารถเข้าโบราณสถานได้เป็นกลุ่มแรก”
ทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงดังลั่นขึ้น ผู้คนถึงกับหันไปมองเป็นตาเดียว หลิน เฟิงเองก็ไม่ได้รู้จักชายคนนั้น ยกเว้นแต่เสื้อที่เขาสวมใส่ บนเสื้อปรากฏรูปมังกรอยู่บนนั้นซึ่งนี่น่าจะเป็นคนจากตระกูลหลงแห่งตระกูลทั้งสิบ
เมื่อหลิน เฟิงมองขึ้นไป เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงที่ส่งมาจากชายคนดังกล่าวที่รุนแรงเอามาก รุนแรงกว่าหลงเฉาเทียนที่หลิน เฟิงเคยเจอเสียอีก และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าชายคนนี้นั้นน่าหวาดกลัวแค่ไหน
“พี่ชาย เขาเป็นใครกัน” หลิน เฟิงเอ่ยถาม
“อ๋อ นี่คือคนแรกของตระกูลหลง หลงจี้เทียน (มังกรพิฆาตนภา) พละกำลังน่ากลัวยิ่งนัก เป็นอันดับต้นๆในห้าคนอีกด้วย” อู่หยางกล่าว
“แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อนี้ก็ดูจะโอ้อวดและหยิ่งผยองไม่เบา ทำไมถึงได้ตั้งชื่อว่าจี้เทียนกันล่ะครับ” หลิน เฟิงจ้องมองพลางส่ายหัวไปมา
“ถ้าเรื่องความแข็งแกร่งนั้น เทียบพี่ชายของเราไม่ติดหรอก” ในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังอู่หยาง หมิงลั่วก็ได้กล่าวขึ้น
“หน่าเอ๋อร์ อย่าพูดจาเลอะเทอะ ข้างนอกมีคนอยู่เยอะ อย่าไปดูถูกคนอื่นเขาแบบนั้น” อู่หยางกล่าว
“ก็นิดหน่อยเอง อ่ะก็ได้ค่ะ” หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังแลบลิ้นใส่ก่อนจะเอ่ย
ในตอนนั้นเอง หวัง ฮ่าวหมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็แตะเข้าที่ศีรษะของอู่หยาง หมิงลั่วก่อนจะว่าขึ้น “หมิงลั่ว นายเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานกว่าสิบปีแล้วนะ นายโตขึ้นมากแล้วก็ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจมั่นคงดีด้วย”
“แหมๆ คุณลุงก็ชมเกินไป” อู่หยาง หมิงลั่วว่าอย่างถ่อมตัว
และในตอนนั้นเอง พวกเราทั้งหมดต่างก็ถอยกันออกมาก่อนยืนอยู่บริเวณโดยรอบ ในเวลาไม่นาน ช่องว่างครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ก็ได้เปิดขึ้นบริเวณตรงกลาง
พวกเขาทั้งสิบคนจึงก้าวเข้าไปในครึ่งวงกลมที่อยู่ตรงกลางนั้น
“ได้เวลาเปิดช่องทางของโบราณสถานลับแล้ว...”
0 ความคิดเห็น