RC:บทที่ 302 ตู๋ กังทำตัวแปลกๆ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 302 ตู๋ กังทำตัวแปลกๆ


“ตอนนี้ก็เป็นเจ้านายใหญ่โตแล้วไง ขึ้นแท่นผู้บริหารเลยนะ” หลิน เฟิงเองยังไม่ทันอ้าปากพูด ตู๋ กังก็พูดออกไปก่อนแล้ว


“หา เจ้าบ้า บอกอีกซิว่าไปได้ไกลถึงขนาดไหนแล้ว” พวกเขาล้อเลียน


“ไม่ๆ ฉันก็อยู่แบบนี้นี่ล่ะ”หลิน เฟิงว่าอย่างถ่อมตัว


“อยู่แบบนี้อะไรล่ะ ไอ้เจ้าบ้านี่ล่ะตัวพ่อเลย พวกนายน่าจะเคยได้ยินชื่อกับกลุ่มของเขาที่ผ่านมานี้นะ” 


ในตอนนั้นเอง ตู๋ กังก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


“หา ว่าไงนะ” เอ้อโกวซือกับเจ้าลิงชักอยากรู้ เพราะพวกตนต่างก็รู้ว่าตู๋ กังไม่ใช่คนที่จะพูดอวดอะไรใคร


จะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับคนๆนั้นที่ทำให้ตู๋ กังอยากจะคุยโม้แบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่โน้มน้าวเขาได้ และคนที่พูดกล่อมตู๋ กังได้มากขนาดนี้ในเวลานี้ก็คงจะเป็นหลิน เฟิงนั่นเอง


“อืม งั้นฉันจะเล่าให้พวกนายฟังอย่างง่ายๆเลยนะ ร้านอาหารที่พวกเราเข้ามากินอยู่เนี่ยคือร้านที่อยู่ภายใต้ชื่อของหลิน เฟิงยังไงล่ะ” ตู๋กังเอ่ยอย่างภูมิใจ


“จริงดิ แต่ฉันก็คิดนะว่าร้านอาหารโหยวหยี่เป็นร้านที่ใหญ่พอดูเลย และดูเหมือนว่าจะมีแต่ร้านนี้เต็มไปทั่วถนนเลยด้วย นี่ถ้าไม่มีเงินเป็นสิบๆล้านล่ะก็ คงไปตั้งร้านแบบนั้นไม่ได้แน่” เจ้าลิงพูดขึ้นหลังจากคำนวณดูแล้ว


“เอ ร้านอาหารโหยวหยี่  ฉันรู้สึกคุ้นๆชื่อยังไงบอกไม่ถูก เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ฉันไปทำงาน นั่นก็เรียกว่าร้านโหยวหยี่เหมือนกัน” เจ้าลิงคิดไปคิดมา และดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นชื่อนี้มาก่อนก่อนที่จะนึกชื่อมันออกอีก


“ก็ที่เราอยู่นี่ไง นี่ก็คือร้านโหยวหยี่เหมือนกัน” ในตอนนั้นเอง เอ้อโกวซือก็รู้สึกแปลกใจไปด้วย


“เป็นไปไม่ได้น่า...” ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกัน


“ใช่สิ ทุกที่อยู่ภายใต้ชื่อของหลินเฟิงหมดเลย และไม่ใช่แค่ที่นี่นะ แต่เป็นในทุกจังหวัด ทุกอำเภอและก็ทุกๆเมืองทางตอนใต้ก็เป็นสาขาของหลินกรุ๊ปทั้งนั้น และพวกเขาก็กำลังจะขยายสาขาไปทางเหนือด้วย ตู๋ กังเล่าอย่างเมามันขึ้นเรื่อยๆ


หลิน เฟิงรู้สึกอายขึ้นมาทันที เขาเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะก็ไม่อยากจะมาพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเพื่อนฝูงด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันดูเป็นการโอ้อวดไปอีก มิตรภาพจะต้องไม่มีอะไรมาปะปนแบบนี้สิ


“ตู๋ กัง ไม่เอาน่า ขอสั้นๆ เรามาที่นี่เพื่อปาร์ตี้กันไม่ใช่ดูโชว์” หลิน เฟิงก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ตู๋ กังถึงได้ทำตัวแปลกไป แล้วตู๋กังจึงเอ่ยกับเขา


“เสี่ยวเฟิง ฉันเองก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอก แต่ฉันไม่มีความสามารถจริงๆ และก็มีอยู่ไม่กี่วิธีที่ฉันจะช่วยนายได้ด้วย แต่ว่าเพื่อนรักของเราสองคนเนี่ยไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ และถ้ายิ่งนายดูกระตือรือร้นมากเท่าไหร่ นายก็ยิ่งดึงความสนใจให้พวกเขามาร่วมงานกับนายได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย ฉันเชื่อนะว่าคงต้องได้ใช้พวกเขาในสักวัน” ตู๋ กังตอบไป


เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ตู๋กังดูแปลกไปจริงๆ และก่อนหน้านี้ เขาก็ได้แต่สงสัยตู๋ กังซึ่งปกติจะเป็นคนเงียบๆ ก็อยากพูดจาโอ้อวดขึ้นมา มันมีความหมายแบบนี้นี่เอง


ภายนอกนั้น ตู๋กังดูเป็นคนกระด้าง แต่จริงๆแล้วตัวเขานั้น “ภายในต่างจากภายนอก” เลยต่างหาก เขาคอยนึกถึงหลิน เฟิงซึ่งเข้ามาเปลี่ยนเขาไปอย่างมากมาย


“โอ๊ย เสี่ยว เฟิงนี่ ที่ฉันเห็นนายเงียบๆ สงสัยจะคิดอะไรอยู่ในใจลึกๆอยู่สินะ ตู๋ กัง มีอะไรอย่างอื่นให้ฉันช่วยบ้างไหมล่ะ” เอ้อโกวซือเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้


“ก็มีมาเรื่อยๆนั่นแหละ อุตสาหกรรมที่มีชื่อของหลิน เฟิงได้รับการแบ่งเป็นสามประเภท ร้านอาหารโหยวหยี่ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในนั้น หลิน เฟิงคอยจัดการเรื่องอุตสาหกรรมผลไม้และไวน์ ฉันไม่รู้ว่าพวกนายเคยได้ลองชิมผลไม้จากร้านผลไม้แสนอร่อยหรือยัง ร้านนั้นน่ะเปิดไปทั่วภาคใต้เหมือนกันกับร้านอาหารโหยวหยี่นี่แหละ”


“ฉันเคยชิมมาแล้ว และไม่ใช่แค่เรื่องรสชาตินะ แต่ยังเอาไปศึกษาด้วย ผลไม้จากร้านผลไม้แสนอร่อยนั่นน่ะมีผลข้างเคียงที่วิเศษเลย อย่าง ชะลอวัย ต้านโรคและก็อื่นๆอีก จริงๆแล้วผลไม้พวกนั้นมาจากอุตสาหกรรมของเจ้าบ้างั้นหรือ” เจ้าลิงมองอย่างอึ้งๆ


“ฉันยังไม่เคยได้ชิมเลย ขอกินเลยนะ นิดนึง”


ต่อมา


“ฉันชักจะติดใจองุ่นลูกหอมๆนี้แล้วสิ ลูกพีชก็อร่อย หลังจากกินเข้าไปแล้ว เรี่ยวแรงกลับมาเต็มที่เลย” หลังจากเอ้อโกวซือกินหมด พวกเขาก็ดื่มเหล้าต่อ


“เจ้าบ้า นายไปได้ของดีๆแบบนี้ได้ยังไงกัน เดี๋ยวฉันจะขอเอากลับไปให้พวกทหารในกองทัพบ้างนะ พอเหนื่อยที ได้กินแบบนี้ ก็เป็นการกระตุ้นดีเหมือนกัน” เอ้อโกวซือเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ


“โอเคร เราเป็นพี่น้องกัน นายต้องการเท่าไหร่ล่ะ” หลิน เฟิงถามไปตรงๆ โดยไม่ได้นึกถึงเรื่องเงินเลย


“ฉันเครียดๆอยู่น่ะ แถมเหตุการณ์ที่ชายแดนตอนนี้ก็ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยด้วย ก็ถ้ามีของพวกนี้เพียงพอ ฉันก็กล้ารับประกันเลยว่าพวกข้าศึกก็ไม่อาจฝ่าไปถึงทางเหนือได้หรอก” เอ้อโกวซือว่าขึ้น


“ที่นี่ฉันมีเยอะเลย ฉันสามารถผลิตเท่าที่กองทัพนายจะขอได้เลย” หลิน เฟิงว่าขึ้น “เรื่องที่ตู๋ กังพูดก็เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่น่ะมีธุรกิจอยู่จริงๆ ตู๋ กังพูดถูกแล้วล่ะ”


“อืม ใช่เลย แล้วเรื่องราคาล่ะ ฉันเองก็ต้องการเยอะอยู่ อย่างที่นายรู้ เวลามีสงครามน่ะ” เอ้อโกวซือว่า


“ราคาต่อรองกันได้ พวกเราเป็นพี่น้องกัน นอกจากนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเราจะลดให้นาย 50 % เพื่อเป็นการปกป้องประเทศชาติ” หลิน เฟิงเอ่ยเสียงเข้ม


อย่ามองว่าที่หลิน เฟิงให้ส่วนลด 50 % แบบนั้นแล้วเขาเป็นคนขี้เหนียวเอาการ แม้แต่สงครามระดับชาติ การผลิตทรัพยาการก็ต้องมีกระบวนการที่ต้องใช้จ่ายเงินมากโข ไม่อย่างงั้นจะผลิตกันอย่างไร


ความจริงก็คือความจริง เรื่องที่หลิน เฟิงจะให้ฟรีๆเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขายังต้องจ่ายเงินคนงาน ต้องเอาไปใช้ทำอย่างอื่นและอีกมากมาย 


“อืม งั้นตอนฉันกลับ ฉันขอเอาไปให้พวกทหารลองกินแล้วดูผลที่เกิดขึ้นหน่อยนะ ถ้าผลออกมาดี ฉันจะแจ้งเบื้องบนเรื่องนี้แล้วค่อยมาบอกนาย” เอ้อโกวซือว่า


“ได้สิ” หลิน เฟิงตอบไปอย่างพอใจ


ไม่มีใครเคยคิดว่าแค่มากินอาหารก็เป็นเวลาซื้อขายของแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ


หลิน เฟิงมองไปที่ตู๋ กังอย่างซึ้งใจ เขานี่ล่ะตัวพ่อตัวจริงในบรรดาพวกเขาสามคน


“เจ้าบ้า พอกลับไปฉันจะช่วยวิจันด้วยนะว่าสามารถใช้งานองุ่นมหัศจรรย์ของนายได้ดีกว่านี้หรือเปล่าด้วยนะ” เจ้าลิงเอ่ย


“เอ่อ นายได้ปริญญาด้านชีววิทยานี่นา เป็นความคิดที่เยี่ยมไปเลย” ทันใดนั้นเอง หลิน เฟิงก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างในดวงตาของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุขใจ


“เจ้าลิง แล้วทำไมนายไม่ไปหาหลิน เฟิงเลยล่ะ อยู่ด้วยกันมันดีจะตาย  แล้วอีกอย่าง ตอนนี้หลิน เฟิงมีเงินเยอะอีกด้วย นายก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินที่ต้องใช้วิจัยรวมถึงเรื่องอื่นๆด้วยไง” ตู๋ กังเอ่ยขึ้น


ก่อนที่หลิน เฟิงจะมา ตู๋ กังได้รู้เรื่องของเจ้าลิงไปแล้ว เพราะไม่มีใครอนุมัติเงินทุนให้กับงานวิจัยของเขาที่เป็นนักวิจัยอิสระเลย จากนั้นเขาก็เพิ่งจะได้รับคำเชิญจากเอ้อโกวซือให้มาปาร์ตี้ตรงนี้


“ถึงฉันจะไม่เข้าใจพวกของใช้ไฮเทคของนายนักก็เถอะ แต่ฉันก็รู้ว่ามีคนเพี้ยนๆอีกมากแค่ไหนที่นายอยากให้มาที่นี่เพื่อศึกษาสิ่งต่างๆและนำไปใช้ขอเงินทุน ยิ่งไปกว่านั้น หลิน เฟิงเองก็มีเงินเป็นพันล้านหยวนอีกด้วย ขอแค่ครึ่งหนึ่งก็ดีสำหรับนายแล้วนี่” ตู๋กังขยิบตาไปที่เจ้าลิงก่อนจะพูดขึ้น


พรวด! ไวน์ที่หลิน เฟิงกำลังดื่มเข้าไปนั้นพุ่งออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวกับตู๋ กังว่า “นี่นาย ฉันมีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ”


“ก็ใช่น่ะสิ นี่นายไม่ได้เข้าไปฟังในกลุ่มเลยหรือ ลู่ ซื่อจี้เองยังพูดเลยว่านายน่ะเป็นคนที่รวยที่สุดในอำเภอจิ้งเฟิงเลยเชียวนะ ตั้งพันล้านเลยล่ะ นี่ขนาดยังไม่ได้ประเมินทุกอย่างเลยด้วยนะ” หน้าของตู๋ กังก็บอกโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร


“ให้ตายสิ สามเดือนที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย” ใบหน้าของหลิน เฟิงบ่งบอกถึงความงุนงง ราวกับว่าตนถูกตัดออกจากวงโคจรของโลก และไม่รู้เรื่องนี้


พวกเขาสามคนต่างยุ่งอยู่กับการเก็บสะสม ประมวลผลและสกัดสิ่งปฏิกูลและทรัพยากรขยะ


เขาได้ฟื้นคืนชีพเหล่าสัตว์วิญญาณโบราณสามชนิดที่ต่างกันพลางตัดเอาออกมาจากหินโดยไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอกไปเสียสนิท


เรื่องสำคัญๆนั้นยกให้ลู่ ซื่อจี้ หวัง ฮ่าวหมิง เติ้ง เทียนฝู เจียง เย่วชาน หวัง หานและคนอีกห้าคนเป็นคนจัดการ


บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับเจียงเย่วชาน เขาคือพ่อของเจียงเสี่ยวไป๋ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ที่สุดในอำเภอจิ้งเฟิง โดยหลังจากที่หลิน เฟิงซื้อบริษัทนี้ไปแล้ว เขาก็ได้มาเข้าร่วมกับหลิน เฟิงในทันที


แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือหลิน เฟิงมีเงินเป็นพันล้าน จริงๆแล้ว  หลิน เฟิงได้บอกพวกนั้นไปว่าเขากำลังศึกษาสิ่งใหม่ๆและไม่ให้รบกวน


ดังนั้น แม้หลิน เฟิงจะมีรายชื่อว่าเป็นคนรวย ลู่ ซื่อจี้เองก็ยังไม่มีเวลามาบอกหลิน เฟิงเรื่องนี้เลย


“จริงดิ” เจ้าลิงมองไปยังหลิน เฟิง


เขามีโครงการวิจัยดีๆอยู่แล้ว แต่พวกคนเก่าแก่ในนั้นเป็นพวกตาไม่ถึง จึงไม่มีใครให้ทุนวิจัยเขาเลย แต่เก็บคาไว้อยู่แบบนั้น


“เจ้าลิงถามนายอยู่นะ” ตู๋ กังเขย่ามือหลิน เฟิง


“หา อ้อ จริงหรอ” 


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น