RC:บทที่ 301 ประสบการณ์ชีวิตที่น่านับถือ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 301 ประสบการณ์ชีวิตที่น่านับถือ


“แล้วคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนนายหรือไง ทั้งบึกทั้งถึกยังกับโจร ส่วนฉันน่ะมันผู้ดีเว้ย” เจ้าลิงว่าพลางมองหลิน เฟิงจรดปลายเท้า


“ฮ่าๆๆ นายว่าใครโจร มานี่ มาจัดสักดอกมา”


ในตอนนั้นเอง ตู๋ กังก็เดินเข้ามา ด้วยร่างที่สูงเกือบสองเมตร มัดกล้ามตึงเปรี๊ยะ พร้อมกับรัดร่างของเจ้าลิง


“เฮ้ยๆ พี่ครับ ผมผิดไปแล้วๆ ตัวใหญ่โคตรเลย นี่ถ้านายพลาดล่ะก็ ฉันมีสิทธิ์แขนขาหักได้เลยนะเฮ้ย” เจ้าลิงว่าขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว


แต่ตู๋ กังกลับไม่ได้นึกสนใจมากนัก อีกทั้งยังรัดร่างเข้ามาอีกจนเขาร้องลั่น


แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีใครด้อยกว่าใคร และรู้วิธีที่จะเรียกเสียงฮาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย พวกเขาแค่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลาสองสามปีแล้วและพวกเขาต่างก็คุ้นเคยกันดีด้วย


ไม่นาน หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ บริกรจึงเข้ามารับออเดอร์อาหารซึ่งแต่เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านเพื่อนกันทั้งนั้น คนทั่วไปถ้าต้องการสั่งก็จะต้องจองไว้ก่อน แต่เมื่อพวกเขามาหาหลิน เฟิง พวกเขาจะสั่งอะไรก็สั่งได้ ไม่จำเป็นต้องจอง


เมื่อมีอาหารชั้นเลิศ ไวน์ชั้นดีก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และไวน์พวกนี้ก็ล้วนบ่มมาจากบริษัทของเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยผลไม้แสนพิเศษของหลิน เฟิงนั่นเอง ที่ออกรสหวาน อร่อยชวนดื่มด่ำ


หลังจากที่พวกเขาดื่มกินกันจนพอใจแล้วนั้น ทั้งสามจึงนอนแผ่ลงบนที่นั่งของตน ก่อนจะเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องชีวิตครอบครัวและสิ่งที่พวกตนประสบกันมา


เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมต้น เอ้อโกวซือก็เข้าไปเป็นทหาร ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งแม้แต่หลิน เฟิงเองยังทึ่ง


“เอ้อโกวซือ  หลังจากเรียนจบแล้วนายไปทำอะไรหรือ ฉันรู้สึกว่านายไม่ธรรมดาเลยนะ”  เพราะหลิน เฟิงมีเรื่องที่อยากจะพูดนั่นเอง


ตอนที่หลิน เฟิงกับเอ้อโกวซือ  กอดกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเอ้อโกวซือ  นั้นไม่ได้ราบเรียบ ร่างกายของเขาไม่ธรรมดา ทั้งยังแข็งแกร่ง และยังสัมผัสได้ถึงความพิเศษ


“ฮ่าๆ จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรหรอก พวกนายก็รู้ว่าฉันน่ะไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่อยู่ม.ต้นแล้ว หลังจากจบมา ฉันเลยไปปกป้องครอบครัวและประเทศ ในสามปีแรกไม่มีอะไรจนกระทั่งเข้าปีที่สี่นั่นแหละ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เอ้อโกวซือจึงหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาก่อนจะดื่ม


“แล้วเกิดอะไรขึ้นในปีที่สี่งั้นหรือ” เจ้าลิงถามขึ้น


เจ้าลิงกับเอ้อโกวซือ  นั้นเพิ่งจะได้เจอกันเมื่อเร็วๆนี้ พวกเขาไม่ได้เจอกันมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รู้เรื่องของเอ้อโกวซือนัก


“ในปีที่สี่ เมื่อทำหน้าที่สำเร็จ พวกเราต้องรักษากุญแจที่ปกป้องข้าวของของประเทศ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หน้าของเขาก็ขึ้นสีเล็กน้อย


“ว้าว ดูท่าจะต้องเล่ากันยาวแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น หลิน เฟิงก็จับได้ทันที


“ฮ่าๆ ในตอนนั้นฉันรู้สึกสิ้นหวังกับโชคชะตาเอามากๆ แต่แล้วก็ได้เจอเธอเข้ามาในชีวิต” เอ้อโกวซือเอ่ยขึ้นพร้อมกับความสุขที่ระบายไปทั่วหน้า


“เอ คาดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่านายทำได้ เอ้อโกวซือ  แล้วประเด็นสำคัญในตอนนี้คืออะไรล่ะ บอกหน่อยสิ” หลิน เฟิงเอ่ยยิ้มๆ


“ฮ่าๆ นักเขียนจะไม่บอกหรอกนะว่าเขาจะเขียนอะไร  เพราะถ้ามีคนบอกเขาคงถูกถอดออกนักเขียน เขาคงไม่สามารถเขียนมันจนจบเรื่องได้ (ประมาณว่าเรื่องนี้เป็นความลับ) ดังนั้น ฉันจึงบอกพวกนายได้แค่ว่ามันก็สูงส่งพอๆกับคนที่ปกป้องประเทศมาสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเลยล่ะ” เขาว่าขึ้น ใบหน้ามีความภาคภูมิใจผุดขึ้นเล็กน้อย


แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ถึงกับอึ้งไป นี่เขาปกป้องประเทศมากี่ปีแล้วนะ ถึงได้ก้าวไปถึงระดับที่มากกว่าคนอื่นๆถึงสิบกว่าปี


ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบหกหรือสิบเจ็ดปีสำหรับคนทั่วไปกว่าจะไปได้สูงขนาดนี้ ถ้าหลิน เฟิงคิดถูก เขาเพิ่งจะได้เป็นทหารเพียงแปดปีเท่านั้นเอง


หลิน เฟิงแอบคำนวณความสูงระดับที่คนทั่วไปน่าจะทำได้ในระยะเวลาสิบหกหรือสิบเจ็ดปีในการปกป้องประเทศนั้นอยู่ในใจ แล้วเขาก็ถึงกับอึ้งไปในทันที


“แข็งแกร่งอะไรแบบนั้น” หลิน เฟิงเอ่ยอย่างทึ่งๆก่อนจะยกนิ้วโป้งให้


 “ไม่มีอะไรที่น่ากลัวหรือไม่น่ากลัว ในฐานะที่เราเป็นคนจีน นั่นเป็นหน้าที่และภารกิจที่เราต้องปกป้องประเทศและยอมสู้จนตัวตายเพื่อประเทศของเรา” เอ้อโกวซือกล่าว ผมปลิวไปตามลมดูราวกับกำลังล้อกับแสงไฟ ทำให้พวกที่เหลือนั่งฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างติดงอมแงม


“ใช่แล้ว ใช่เลย สิ่งที่พี่ผมพูด ในฐานะลูกพี่ ผมภูมิใจในตัวพี่มาก” หลิน เฟิงเป็นคนแรกที่เข้าไปตบไหล่เขารัวๆ


“ไม่มีแล้วเจ้าเด็กแหย คงกลายเป็นฉันแทนนี่ล่ะ”


เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะจินตนาการว่าเอ้อโกวซือที่แสนจะขี้ขลาดและผอมกะหร่องนั้นใช้เวลาในช่วงหลายปีมานี้อย่างไร เขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง แล้วเขาก้าวไปถึงจุดสูงที่มีแค่คนที่อยู่มา 16 หรือ 17 ปีเท่านั้นที่จะทำได้ในระยะเวลาแปดปีแบบนั้นได้อีก


ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการเลื่อนขั้นในแปดปีที่ผ่านมานั้นเกือบจะเป็นสามเท่าของคนอื่นอีกด้วยซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจเอามากๆ เห็นได้เลยว่าเขาต้องทำงานหนักขนาดไหนเพื่อปกป้องครอบครัวและประเทศซึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาพูดไว้อย่างแน่นอน


เอ้อโกวซือพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาเป็นปกติและสั้นๆ หลายๆสิ่งไม่สามารถเปิดเผยได้อย่างเห็นได้ชัด


“แล้วว่าแต่ นายล่ะ” เอ้อโกวซือเอ่ยถาม


“พวกเราหรอ เจ้าลิง พูดเรื่องนายก่อนเลย” หลิน เฟิงคิดพลางเอ่ยขึ้น


“เอาล่ะ จริงๆแล้ว ฉันก็โอเคดีอยู่นะ พวกนายก็รู้ว่าที่บ้านฉันน่ะยากจน ดังนั้น เป้าหมายของฉันก็คือเรียนให้หนักเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเอง” เจ้าลิงเอ่ยอย่างจริงจัง


“แล้วไงต่อ” เอ้อโกวซือเอ่ยถาม


“จากนั้นก็ เอ่อ หลังจากเรียนจบจากมัธยมต้นด้วยคะแนนที่ดีแล้ว ก็ได้เข้าไปเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย ความพยายามเป็นผลสำเร็จ เข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด ต้องเรียนครึ่งเวลา และวิชาชีววิทยาก็เป็นวิชาที่สนใจเป็นพิเศษด้วย ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็บังเอิญไปค้นพบอะไรบางอย่างเข้าและก็ได้ปริญญาเอกก่อนเพื่อนเลย” เจ้าลิงเอ่ยเสียงเรียบ


“พรวด!” หลิน เฟิงกับเอ้อโกวซือที่กำลังดื่มไวน์อยู่นั้นก็ถึงกับอึ้งไปก่อนจะสำลักไวน์ออกมาในทันใด


“พวกนายเป็นอะไรกันน่ะ” เจ้าลิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงบ


“นี่นายเล่าเรื่องแบบนั้นด้วยน้ำเสียงธรรมดาและราบเรียบแบบนั้นได้ยังไงกันน่ะ” หลิน เฟิงเอ่ยถามเสียงดัง จนสำลักไวน์ออกมา


ตอนที่เรียนอยู่มัธยมต้น หมอนี่ไม่เคยมีประวัติเรียนดีมาก่อนเลย เขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนที่ยังอยู่มัธยมปลาย อีกทั้งยังได้ปริญญาเอกหลังจากทำวิจัยของมหาวิทยาลัยอีกด้วย เหลือเชื่อจริงๆ


เมื่อได้ยินแบบนี้พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่หมอนี่ดันพูดออกมาด้วยท่าทีปกติสุดๆราวกับเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำ


“ฮ่าๆ จริงๆแล้วก็ฟลุคทั้งนั้นแหละ ฉันต้องการอยากจะออกมาอยู่แล้วหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ใครจะไปรู้ว่าฉันทำอะไรผิดพลาดไปบ้างหรือเปล่า แล้วฉันก็ได้ข้ามขั้นมารับปริญญาเอกสาขาชีววิทยาเฉยเลย” เจ้าลิงผายมือออกไปราวกับจะพูดว่า ก็แค่นั้นล่ะ ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ได้อยากได้หรอกนะ


เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของเขา พลันหลิน เฟิงก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้


เอ้อโกวซือกับเจ้าลิงนั้นช่างเป็นคนที่เหลือเชื่อจริงๆ คนหนึ่งนั้นช่างมีความกล้าหาญเพื่อที่จะปกป้องครอบครัวและประเทศ ส่วนอีกคนก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยแต่ก็อุทิศตัวให้กับการวิจัยเชิงวิชาการ กระโดดจากวิทยาลัยไปเป็นด็อกเตอร์เลยทีเดียว การศึกษาระดับปริญญาตรีหายไประหว่างกลาง ชีวิตนี้ดูจะกว้างใหญ่กว่าที่คิดเสียอีก


เมื่อได้เปิดเรื่องขึ้นมาเล่าแล้วนั้น หลิน เฟิงก็รู้สึกว่าเหมือนตนจะต้องเป็นคนเล่าต่ออีกแล้ว เพียงแต่เรื่องที่เขาจะเล่านั้นมันยิ่งใหญ่กว่าและเหลือเชื่อมากกว่าเท่านั้น


“เอาล่ะ แล้วเรื่องของพวกนายสองคนล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ในตอนนั้นเอง เจ้าลิงก็ได้ถามขึ้น


“ฉันน่ะหรือ ไม่ได้มีอะไรเล้ย ยกเว้นแค่ร่างกายกับแรงที่ถึกขึ้นนี่ล่ะ แต่ยังดีที่หลิน เฟิงยังเวทนาฉันอยู่บ้าง”


ตู๋ กังกล่าวเรื่อยๆ


“นายนี่ ไม่มีความสามารถอะไรกันล่ะ แค่ร่างกายกับร่างบึกๆนั่นน่ะนะ” หลิน เฟิงโต้เขากลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรต่ออีก


“ฮ่าๆ นั่นล่ะ” ตู๋กังว่าพลางยิ้มๆ


“เอิ่ม นายมันบ้าไปแล้ว ดูตัวเองสิ สนุกใหญ่เลยนะ” เจ้าลิงว่าขึ้น


“เขาน่ะ เป็นคนที่ดีจริงๆ


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น