RC:บทที่ 299 เดินทางไปยังร้านอาหาร
ในชิ้นส่วนเหล่านั้น มียีนส์ของพวกสัตว์เหล่านี้อยู่ ซึ่งหลินเฟิงนำยีนส์มาใช้กับฟังก์ชั่นของเกลียวคลื่นสีดำ มันคล้ายกับเทคโนโลยีการโคลนนิ่งในปัจจุบัน ซึ่งวิธีนี้มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟูให้เด็กๆเหล่านี้เกิดขึ้นมาเป็นไข่และฟักออกมาได้
หลังจากผ่านไป 3 เดือน เขาทำได้เพียงทำให้มันกลับมามีชีวิตได้เดือนละ 1 ตัวเท่านั้น ในแต่ละเดือนหลินเฟิงต้องพยายามอย่างหนัก ขยะเกือบจะทั้งหมดถูกเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมา
“โอเค ไปเล่นกันเองก่อน อย่าเพิ่งมารบกวนฉันนะ” ถึงหลินเฟิงจะเป็นเจ้าของเด็กๆพวกนี้ก็จริงๆ แต่พวกมันก็ไม่ได้เชื่อฟังเขาหรอก
กรร!
ทันใดนั้น ราชามังกรทมิฬก็คำรามขึ้นมา และนั่นทำให้พวกตัวเล็กทั้ง 3 หวาดกลัวก่อนจะรีบกุลีกุจอออกไปจากหลินเฟิง
ในตอนนี้ หลินเฟิงจึงสามารถฝึกฝนตนได้เสียที
เมื่อหลินเฟิงนั่งลงไปกับพื้น ราชาทมิฬก็ใช้ร่างขนาดใหญ่ของเขาเองล้อมรอบตัวหลินเฟิงเอาไว้ ซึ่งทำให้เหล่าสัตว์วิญญาณตนอื่นไม่กล้าที่จะเข้ามารบกวนขณะที่หลินเฟิงกำลังฝึกฝนตนเองอยู่
ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้นอยู่ที่ระดับ A สัตว์วิญญาณทั้ง 4 ของเขา จะมีถึงระดับ S หรือสูงกว่าก็พวกราชาทมิฬและต้นไม้ปีศาจ ส่วนมังกรแสงและหมานรกนั้นยังอยู่แค่ระดับ A เท่านั้น แต่ทั้งคู่ยังสามารถก้าวไปได้อีก
เพราะเหตุนี้ หลินเฟิงจึงต้องทำความเข้าใจกับกฏแห่งโครงสร้างมายาของรูปแบบต่างๆของพลัง เหมือนกับที่สัตว์วิญญาณทั้งสองของเขาบรรลุระดับ S ได้ เมื่อนั้นเขาก็จะได้เป็นระดับ S เหมือนกับทั้งสองเสียที
“ตอนนี้ฉันเข้าใจคุณลักษณะโครงสร้างของพลังแห่งดินกับพลังแห่งไฟแล้ว มันคงจะไม่ยากเกินไปถ้าฉันจะสามารถเข้าใจคุณสมบัติเพิ่มอีกซัก 2 อย่างด้วย แต่ฉันควรจะทำพันธะสัญญากับสัตว์วิญญาณเพิ่มขึ้นด้วยไหม? ถ้าหากฉันจะได้ทำความเข้าใจคุณสมบัติของพลังทั้งหมดบนโลกนี้? มันจะทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า?” หลินเฟิงเอ่ยถามราชามังกรทมิฬ
“มันเป็นไปได้ในทางทฤษฎีขอรับ แต่ถ้าตามจริง คนธรรมดาจะสามารถเข้าใจคุณสมบัติของพลังได้แค่ 1 อย่าง อัจฉริยะจะเข้าใจได้ถึง 2-3 อย่าง ส่วนนายท่านนั้น ที่อยากจะเข้าใจคุณสมบัติของพลังทั้งหมด ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่มันเกินความจริงไปมากอยู่เหมือนกันนะขอรับ!” ราชาทมิฬพูด
“ทำไมล่ะ?” หลินเฟิงยังคงไม่เข้าใจ
“บนโลกใบนี้มีพลังอยู่ทั้งหมด 9 แบบ นายท่านเพิ่งจะบรรลุ 2 จาก 9 นั้นแถมด้วยความบังเอิญเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็นับว่าทรงพลังมากแล้ว แต่ถ้านายท่านต้องการที่จะทำพันธะกับเหล่าสัตว์วิญญาณเพื่อให้บรรลุถึงพลังอีก 7 อย่างที่เหลือ มันจะยากเกินไปขอรับ”
“คนบางคนไม่สามารถเข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของพลังได้แม้แต่อย่างเดียวตลอดชั่วชีวิต เช่นนี้แล้วนายท่านคิดว่าการที่จะเรียนรู้ทั้ง 9 นั้นมันยากขนาดไหนกันขอรับ?” ราชาทมิฬนั้นพูดและแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยที่เหลินเฟิงจะเข้าใจคุณสมบัติของพลังทั้ง 9 ได้
“แต่นายบอกว่า ‘ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้’?” หลินเฟิงถามกลับ
“ในกรณีที่นายท่านต้องการที่จะทำมันจริงๆ ตราบใดที่พันธะเสมอภาคหรือแม้แต่มันจะไม่สำเร็จ ในท้ายสุด นายท่านยังสามารถยกเลิกพันธะเพื่อไปต่อยังระดับต่อไปได้อยู่! ราชาทมิฬเอ่ย
“พอจะเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการดูเหมือนจะเป็นเรื่องความล้มเหลวสินะ ถ้าเกิดเป็นอย่างงั้นจริงๆมันก็เสียเวลาน่าดูเลย เพราะงั้นไปจับเจ้าพวกตัวเล็กทั้ง 3 นั่นมาก่อนดีกว่า!” หลินเฟิงสั่ง
“ขอรับ!”
ไม่นานนัก หลินเฟิงก็มานั่งอยู่ตรงหน้าของเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 เรียบร้อยแล้ว สัตว์วิญญาณเหล่านี้แข็งแกร่งแค่ระดับ C เท่านั้น แต่กระนั้นพวกมันเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะก้าวข้ามขั้นอยู่สูงมากๆ
เมื่อพักเหนื่อยได้ระดับหนึ่งแล้ว หลินเฟิงก็เริ่มทำพันธะกับสัตว์วิญญาณตัวน้อยนั้นทีละตัวๆ และจนกระทั่งพวกมันอยู่ภายใต้พันธะทั้งหมด มันก็ไปโผล่กันอยู่ในมิติของหลินเฟิงในทันที
ในตอนนี้หลินเฟิงเองก็มีคุณสมบัติพลังของดิน ไฟฟ้า และน้ำแล้ว
ภายในมิติของหลินเฟิง ในตอนนี้มันมีสัตว์วิญญาณอยู่มากมายซึ่งประกอบไปด้วย แสงจากมังกรแสง ความมืดจากราชาทมิฬ ไฟจากหมานรก น้ำจากยูนิคอร์น ไฟฟ้าจากสิงโตทองคำ ดินจากงูหิน และไม้จากต้นไม้ปีศาจ
ตอนนี้เขาจินตนาการไม่ออกเลยถึงความน่ากลัวของของเขาเองหากเมื่อไหร่ที่เขาสามารถบรรลุความเข้าใจของคุณสมบัติพลังทั้ง 9 ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเพียงไม่นานก็ผ่านมา 3 วันแล้ว ทันใดนั้น ตู๋กังก็ติตต่อมายังเขาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเอ้อโกซือและเจ้าลิงได้มาถึงเขตจิงเฟิงแล้ว และนั่นทำให้หลินเฟิงที่กำลังฝึกตัวเองอยู่นั้นกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
หลินเฟิงรีบกลับไปแต่งตัวและขับรถเข้าไปยังเขตชิงเฟิงทันที
และสถานที่ที่ตู๋กังเลือกไว้นั้น ก็คือร้านอาหารโหยวหยี่(มิตรภาพ)ของพี่หวังนั่นเอง
ตลอด 3 เดือนมานี้ มันทำให้ร้านอาหารโหยวหยี่นี้ดูต่างไปจากเดิมอย่างมาก ในตอนนี้มันสามารถถูกเรียกว่าเป็นร้านอาหารได้อย่างจริงจังแล้ว นั่นเพราะว่าย่านนี้ถูกหวังฮ่าวหมิงซื้อไปหมดแล้ว และเขาก็จัดการเปลี่ยนชื่อของหลายๆสิ่งให้สอดคล้องกันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารไป
ร้านอาหารโหยวหยี่นั้นโด่งดังขึ้นมาในเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา แม้แต่ถนนเองก็ยังถูกเปลี่ยนมาเป็นชื่อ ถนนร้านอาหารโหยวหยี่ ซึ่งชื่อนั้นเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะร้านอาหารโหยวหยี่โดยเฉพาะเลย
เมื่อหลินเฟิงเข้าไปยังย่านร้านอาหารโหยวหยี่ บริเวณนั้นก็มีป้ายประกาศเกี่ยวกับร้านอาหารโหยวหยี่อยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นไก่ชั้นยอด เป็ดเลิศรส ปลาหายาก และอื่นๆอีกมากมาย ภาพของอาหารจานหรูพวกนั้นถูกติดไว้ตามกำแพงเต็มไปหมด
นอกจากนั้น ที่แห่งนี้ยังมีคนมากมาย มันทำให้เขามองเห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจนี้
และเพราะคนจำนวนมากเหล่านี้ ทำให้หลินเฟิงเองไม่สามารถขับรถเข้าไปได้ เข้าจำเป็นต้องหาที่จอดและเดินเข้าไปแทน
ด้วยความสัตย์จริง ถึงแม้นี่จะเป็นร้านอาหารของพี่หวังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลินกรุ๊ป แต่กระนั้น หลินเฟิงกลับไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่ อย่างมากสุดก็แค่ 1-2 ครั้งตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะปกติเขาเองก็ชอบอยู่แต่บ้าน พอได้มาเห็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่นี้ มันก็ทำเอาเขาตื่นเต้นสุดๆไปเลย
ลืมเรื่องนั้นไป ตอนนี้ร้านอาหารโหยวหยี่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในย่านจิงเฟิงแล้ว มันกลายเป็นที่ๆเหล่าคนดังจะต้องแวะมาหากได้เข้ามายังเขตนี้ เพราะงั้นกว่าที่หลินเฟิงจะเข้าไปโถงหลักของร้านอาหารได้มันจึงใช้เวลาพักใหญ่ๆเลย
“ยินดีต้อนรับค่ะ! เลือกแบบไหนดีคะ?” สาวบริกรหน้าตาสละสลวยเอ่ยถามหลินเฟิงพร้อมเดินเข้ามา
หลินเฟิงงุนงงกับคำถามนั้น เธอไม่รู้จักเขา หลินเฟิงจำไม่ได้แล้วว่านี่มันครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาเข้ามาที่นี่โดยที่อยู่ในสถานะ “แขกที่ไม่รู้จัก”
นอกจากนั้น เขาเองยังเป็นผู้ก่อตั้งหลินกรุ๊ปด้วย! เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงเจ้าของร้านอาหารเลย
“ร้านอาหารรับพนักงานใหม่อีกแล้วเหรอ?” หลินเฟิงพูดด้วยเสียงเบา
“หือ? ลูกค้าต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวถามอีกครั้ง
“อ๊ะ โอเคๆ ไม่เป็นไร เธอคงยุ่งสินะ ฉันเพิ่งจะกลับมาจากการเที่ยวน่ะเลยทำตัวไม่ค่อยถูก” หลินเฟิงพูดอย่างกระอั่กกระอ่วม
“อ๋อ ถ้าอย่างงั้น มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” พนักงานสาวได้ฟังก็เอ่ยตอบอย่างสุภาพ
“สักครู่ครับ!” หลินเฟิงพยักหน้า
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาตู๋กังเพื่อจะถามว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกัน!
“หลินเฟิง พวกเราอยู่ที่ชั้น 3 รีบขึ้นมาเร็ว! พวกฉันรอนายอยู่นานแล้วนะ!” ตู๋กังตอบ
“โอเคๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เมื่อพูดจบหลินเฟิงก็หันไปมองทางบันไดก่อนจะเตรียมตัวที่จะเดินขึ้นไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณลูกค้า~ ชั้นที่ 2 และ 3 นั้นจำเป็นต้องมีระดับ VIP นะคะถึงจะสามารถขึ้นไปได้ เพราะงั้นแล้ว ช่วยแสดงบัตร VIP ให้ฉันดูก่อนขึ้นไปด้วยค่ะ!” พนักงานสาวรีบวิ่งมาหยุดหลินเฟิงไว้ก่อนพร้อมกับพูดด้วยอย่างสุภาพ
“ห้ะ...” หลินเฟิงนั้นพูดอะไรไม่ออกเลย เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากๆ แล้วบัตร VIP มันหายไปไหนกันนะ…
หลินเฟิงต้องการจะตะโกนออกไปดังๆว่า เขาเนี่ยแหละเจ้าของที่นี่! ปล่อยให้ฉันขึ้นไปเดี๋ยวนี้นะเฟ้ย! แต่ก็แค่อยากแหละ เพราะท้ายสุดเขาก็กลืนคำพูดพวกนั้นลงไป
นั่นเพราะว่าถ้าพูดแบบนั้นออกไปแล้ว มันจะพลอยทำให้คนอื่นคิดว่าเขานั้นบ้าขึ้นมาแทน และนั่นอาจจะทำให้เขาโดนเตะออกจากที่นี่เลยก็ได้
“ฉันไม่มีบัตร VIP น่ะ แต่เพื่อนของฉันรออยู่ด้านบนนั้น ฉันสามารถขึ้นไปได้หรือเปล่า?” หลินเฟิงถาม
“เพื่อนรออยู่ด้านบนเหรอคะ? ชั้นไหนกับห้องไหนคะ? ฉันจะได้จัดการให้เขาลงมารับคุณไป” หญิงสาวไม่ได้กดดันหลินเฟิง และเธอยังคงสุภาพกับเขาอยู่
“ฉัน...เอ่อ...ไม่รู้เบอร์ห้องนั่นด้วย...” ในตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกแล้ว นั่นเพราะตู๋กังไม่ยอมบอกหมายเลขห้องแก่เขา
“ถ้าอย่างงั้นเราคงไม่สามารถให้คุณขึ้นไปได้นะคะ...”
0 ความคิดเห็น