RC:บทที่ 293 10 ราชาสัตว์วิญญาณ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 293 10 ราชาสัตว์วิญญาณ 


 


“เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องต้นกำเนิดของนายกันก่อน! ในฐานะที่เป็นสัตว์วิญญาณที่ฉันชอบที่สุด แต่กลับกันนายก็มีความลับเยอะซะด้วย เพราะเป็นอย่างนี้ นายถึงทำฉันตกที่นั่งลำบากอยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้าที่จู่ๆนายคลั่งก็เหมือนกัน!”


 


หลินเฟิงต้องการที่จะรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของมังกรดำก่อน นั่นเพราะว่าเขากลัวว่าเวลามันจะไม่พอที่จะได้ฟังทั้งหมด 


 


“แต่เดิมแล้วข้าเกิดมาเป็นมังกรดำที่มีตาสีทองซึ่งรอดมาจากยุคโบราณได้ หลังจากที่ผ่านเวลามาเนิ่นนานและฝึกฝนตนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งข้าสามารถทำลายโซ่ตรวนที่รั้งข้าไว้ในระดับ SS และก้าวเข้าสู่ SSS ได้ในที่สุด ในตอนนั้นข้าถูกเรียกว่า ราชามังกรทมิฬโดยมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นข้าจึงเป็น ราชามังกรทมิฬ!”


 


“และด้วยพลังที่แข็งแกร่งของข้านั่นเอง ที่ทำให้คนอื่นๆต่างรู้จักข้าในนามของ 1 ใน 10 ราชาสัตว์วิญญาณ” มังกรดำตอบ 


 


“10 ราชาสัตว์วิญญาณ? แสดงว่ายังมีตนอื่นๆอยู่นอกจากนายด้วยสินะ?” หลินเฟิงนั้นอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากๆ 


 


“นอกจากข้าแล้วยังมีสัตว์วิญญาณอีก 9 ตน ที่ซึ่งแต่ละตนต่างก็มีพลังที่สุดยอดซ่อนไว้อยู่ และแน่นอนว่าทุกตนนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ และในบรรดาสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ ยังมีอีก 2 ตนที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่!” มังกรดำพูด และด้วยความไม่ได้ตั้งใจ เขาก็เผลอแสดงท่าทีที่เหมือนหวาดกลัวออกมา 


 


“สิ่งมีชีวิตโบราณ? พวกนายรอดมาจากน้ำท่วมเมื่อในอดีตกับปัญหาความอดอยากมาได้งั้นเหรอ?” หลินเฟิงตกใจมากๆเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะเขาเองกลับไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย 


 


“ใช่แล้วขอรับ ราชาสัตว์วิญญาณทั้ง 10 นั้นคือเผ่าพันธุ์ที่เหลือมาจากสิ่งที่นายท่านกล่าวมา อันดับ 10 เป็นสิงโต อันดับ 9 เป็นจิ้งจอก อันดับ 8 เป็นต้นหลิวปีศาจ อันดับ 7 เป็นมังกรสีรุ้ง อันดับ 6 เป็นลิงยักษ์ อันดับ 5 เป็นม้ายูนิคอร์น 5 ธาตุ อันดับ 4 คือนกฟินิกส์แห่งไฟและน้ำแข็ง และอันดับที่ 3 คือมังกรทมิฬตาสีทองอย่างข้า!”


 


มังกรดำพูดหลายต่อหลายสิ่งในเวลานี้ แต่ละครั้งที่เขาได้พูดชื่อของสัตว์วิญญาณเหล่านั้นออกมา หลินเฟิงก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปหมด ชื่อพวกนี้ไม่สามารถหาฟังได้ง่ายๆ 


 


“แล้วอันดับ 1 กับ 2 ล่ะ? มันถูกเรียกว่าอะไร?” หลินเฟิงยังคงอยากรู้อยากเห็นต่อ


 


“2 สิ่งนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทั้งสองเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่มนุษย์นั้นตั้งชื่อทั้ง 2 เอาไว้ พวกเขาเรียกอันดับ 1 ว่า ขุย และเรียกอันดับ 2 ว่า หยาง” มังกรดำคิดก่อนจะพูด 


 


“ขุย? หยาง?” หลินเฟิงทวนชื่อพวกนั้นอีกครั้ง 


 


“นายเองก็ไม่รู้เหรอว่า 2 ตนนี้เป็นตัวอะไร? พวกนี้แข็งแกร่งกว่านายสินะ?” เขาถามต่อ 


 


“ข้าเองก็ไม่รู้ นั่นเพราะว่าทั้งสองตนนี้ถูกคาดคะเนไว้เฉยๆว่าเป็นเผ่าพันธุ์โบราณและถือเป็นสัตว์ป่า รายละเอียดอื่นๆนั้นไม่รู้เลย”


 


“แต่ถ้าเรื่องความแข็งแกร่ง ตัวข้าเองยังไม่เคยเจอกับอันดับที่ 1 แต่เคยประมือกับอันดับที่ 2 อยู่ติดหน่อย ซึ่งพอจะพูดอะไรได้บ้าง นั่นก็คือทั้งสองนั้นไม่เคยปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาเลย!” มังกรดำพูดและตัวเขาเองก็แสดงออกถึงความกลัวออกมาผ่านแววตาด้วย 


 


“เอาล่ะ ลืมเรื่องนี้ไป เราจะไม่พูดถึงมันอีก ทีนี้บอกมาซิว่าทำไมนายถึงถูกพวกคนที่แข็งแกร่งๆจ้องฆ่าทิ้งได้?” หลินเฟิงหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องไปด้วย 


 


“เพราะว่ามนุษย์คนหนึ่งน่ะขอรับ ชายผู้แข็งแกร่งที่ต้องการจะบรรลุระดับ SSS และก้าวเข้าสู่มิติมายาในตำนานให้ได้ คนๆนั้นต้องการเลือดของข้าเป็นตัวนำทาง และแน่นอนว่าข้าไม่ยอมรับ ด้วยความโกรธ คนๆนั้นจึงเข้าปะทะกับข้า เขาแข็งแกร่งมากๆ นายท่านเองก็ได้เห็นเขาไปแล้ว คนๆนั้นคือคนที่สวมหน้ากากภายใต้ชุดดำขอรับ!” มังกรดำเริ่มพูดต่อด้วยความโกรธ


 


“แล้วไงต่อ?”


 


“ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ข้าเองก็ไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นแล้ว ไม่มีใครกดข้าลงได้เพียงตัวคนเดียว ชายคนนั้นเปลี่ยนเป้าหมายจากข้าไปเป็นสัตว์วิญญาณตนอื่นๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าแทน ซึ่งนั่นมันทำให้สัตว์วิญญาณของข้า หายไปกว่า 1 ใน 3 ด้วยฝีมือของคนๆเดียว! เพียงเพราะต้องการจะให้ข้าเอาเลือดบริสุทธิ์ไปให้เท่านั้น!”


 


“แต่คิดเหรอว่าการทำเช่นนี้แล้วข้าจะยอม? ใช่แล้ว ข้าเข้าปะทะกับคนๆนั้นด้วยความโกรธ และในท้ายสุดข้าก็ทำร้ายมันได้ หลังจากที่เจ้ามนุษย์นั่นหนีเข้าไปในเมือง ด้วยความโกรธของข้า มันทำให้ข้าทำลายเมืองมนุษย์ในทันที และฆ่ามนุษย์ไปกว่าล้านชีวิต!”


 


“และในท้ายที่สุด ข้าก็ได้กลายเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายไปโดยปริยาย มันทำให้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของทางฝั่งมนุษย์ ส่งผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับ SSS ถึง 5 คนออกมาพร้อมๆกับเหล่า SS อีกกว่า 10 คน เพื่อฆ่าข้าโดยเฉพาะ และตอนสุดท้าย ข้าก็ได้ตายลง แต่ข้าเองก็ได้ฆ่าพวก SSS ไปถึง 2 คน รวมกับพวก SS อีกกว่าครึงเลยนะขอรับ!” มังกรดำพูดเรื่องที่เขาพอจะนึกออก 


 


“เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนพวกนั้นถึงช็อกเมื่อเห็นนายกัน” หลินเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม 


 


หลังจากที่เข้าใจถึงเหตุผลต่างๆนาๆ หลินเฟิงก็โล่งใจขึ้นมา แต่ก็ยังคงกังวลอยู่ “นายฟื้นพลัง 1 ใน 10 ของพลังทั้งหมดขึ้นมาแล้ว เพราะงั้นตอนนี้พลังของนายค่อนข้างจะแข็งแรงมากๆ แบบนี้นายจะเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาอีกหรือเปล่า?” 


 


เพราะใน 2 ครั้งก่อน หลินเฟิงเกือบจะบ้าตายเพราะอีกฝ่าย ดังนั้นแล้วเขากลัวว่าถ้าเกิดคราวนี้ มังกรดำดันมีความแข็งแกร่งทะลุระดับ SS ขึ้นมาจริงๆ แล้วเกิดคลั่งขึ้นมาอีก ตอนนั้นเขาคงต้องลาโลกไปแน่ๆ


 


“ไม่แล้วขอรับ นายท่าน...”


 


ไม่นานนักหลังจากที่ออกมา ชายชราผมสีเทาก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า เขามาพร้อมกับคิ้วสีขาวและเคราที่สีขาวด้วย ร่างนั้นเอ่ยเบาๆ “ราชาทมิฬฟื้นคืนชีพแล้ว และดูเหมือนจะทำพันธสัญญากับมนุษย์ไว้ด้วย? ไม่รู้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ดีหรือแย่กันแน่”


 


“แต่เด็กนั่น คุ้นๆเหมือนว่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...อ่า! จำได้แล้ว ไอ้หนุ่มนั่น คนที่ขายองุ่นนี่!? ช่างโตเร็วเหลือเกินนะ! คงต้องตามไปสังเกตการณ์หน่อยแล้ว” จากนั้นชายชราก็หายตัวไปในอากาศ


 


หลังจากที่มังกรดำนั้นได้ฟื้นพลังเศษ 1 ใน 10 ของตนเองแล้ว มันก็ทำให้เขาขึ้นเป็นระดับ SS ได้ ซึ่งมันรวดเร็วมาก และด้วยเหตุนี้ มันทำให้เขาสามารถเจาะทะลุมิติได้ ซึ่งการเจาะมิตินี้ทำให้เขาสามารถมาถึงบ้านของหลินเฟิงได้อย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวอีกที ร่างของมังกรดำก็มาอยู่เหนือหมู่บ้านลั่วหยางแล้วในเวลาอันสั้น


 


ทันทีที่พวกเขาลงเทียบจอดที่สวนด้านหลังแล้ว หลินเฟิงก็เห็นหมีภูเขาตัวผู้กำลังเผชิญหน้ากับคน 2 คนอยู่ แต่ละคนนั้นเป็นระดับ A และระดับ S ทั้งคู่สวมชุดของตระกูลตงฟาง ซึ่งหลินเฟิงสามารถจำได้เพียงแค่มอง


 


หวังหานรีบเข้ามาหาหลินเฟิงและถามเขาว่าควรจะทำอย่างไรดี หลินเฟิงไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินไปจัดการเจ้า 2 คนนั้นซะ 


 


“ขยันกระตุกหนวดเสือเสียจริงๆ กล้าที่จะฆ่าคนจากตระกูลตงฟางแบบนี้ ขอดูหน่อยซิว่าในเวลาแบบนี้ นายโตขึ้นขนาดไหน!” ชายชราผู้มากับเคราสีขาวโผล่ออกมาจากในความมืดและถอนหายใจ 


 


หลินเฟิงและมังกรดำนั้นไม่รู้ตัวเลยว่า พวกเขาโดนชายชราคนนี้ตามมาอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นตอนนี้ก็ยังคงยืนข้างๆ เพราะงั้นสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า พวกเขาพลาดแล้ว


 


มีเพียงมังกรดำเท่านั้นที่รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ เขาดูเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง แต่กระนั้นเมื่อหันไปดูเขากลับไม่พบเจออะไร 


 


“สมแล้วที่เป็นราชาทมิฬ การรับรู้ดีเยี่ยม!” ชายชรายิ้มก่อนจะหายตัวไปอีก 


 


ทางฝั่งตระกูงตงฟาง โถงสุดหรู ที่ซึ่งมีชายชราซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยนั่งอยู่เงียบๆบนที่นั่งและกำลังจิบชิมชาที่มาพร้อมกับกลิ่นโชยอ่อนๆ


 


“มันน่าเบื่อที่จะดื่มชาคนเดียวสินะ!” ทันทีที่มีเสียงเกิดขึ้น ชายชราที่มีเคราสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากในอากาศและลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับชายชราที่หน้าเปี่ยมไปด้วยริ้วรอย


 


“ใครน่ะ?” ชายที่ใบหน้ามีริ้วรอยช็อกไปในทันที และเมื่อได้มองหน้าอีกฝ่ายเขาก็ต้องช็อกขึ้นไปอีกก่อนจะรีบพูดด้วยความเคารพ “ท-ท่านผู้อาวุโสไป่! นั่งก่อนสิท่าน!”


 


“ไม่ต้องตกใจๆ ฉันมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเอง” ตาเฒ่าไป่เอ่ยบอก 


 


“ช่างหาได้ยากนักที่ท่านผู้อาวุโสไป่จะมาเป็นแขกให้แก่ตระกูลตงฟางเช่นนี้ ผมเสียใจจริงๆที่ต้อนรับช้าไป...แต่...ผมคิดว่าท่านเองก็คงไม่ได้มาเพราะเป็นแขกหรอกนะ?” ชายหน้าย่นเอ่ยต่อ


 


“ใช่แล้ว พอดีมีเรื่องจะพูดหน่ะ...”


 


ภายในห้องที่สว่างสไวไปด้วยแสงไฟของตระกูลตงฟางนั้น มันมีป้ายหน้าตาแปลกๆถูกห้อยไว้มากมาย ป้ายพวกนั้นทั้งหมดถูกสลักไว้ด้วยชื่อคนและมีไฟลุกขึ้นมา


 


ป้ายเหล่านั้นจะสลักชื่อไว้แค่เหล่าผู้ที่มีระดับ S หรือมากกว่าเท่านั้น และเมื่อเจ้าของป้ายแต่ละคนตายลง ป้ายไฟเหล่านี้ก็จะแตกหักและตกลงมาด้วย


 


และในขณะนั้นเอง 1 ในป้ายเหล่านั้นก็หลุดและตกลงมาแตกเป็นชิ้นๆต่อหน้าต่อตา 


 


“หือ? ป้ายผูกวิญญาณแตกงั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” น่าประหลาดใจมากๆ เขารีบวิ่งออกจากห้องนั้นไปยังห้องโถงหรูหราประจำตระกูลทันที


 


“มีข่าวมารายงานครับ!” ชายคนนั้นเข้ามาในห้องทันที 


 


เขามองไปยังชายกลางคนที่ยืนอยู่ในห้องซึ่งกำลังขมวดคิ้วอยู่และดูได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


เห็นชายที่วิ่งเข้ามาในทันทีดูเอะอะโวยวาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความโกรธ “จะเอะอะอะไรกันเล่า!”


 


“นายท่าน! ป้ายผูกวิญญาณ...มันแตกน่ะครับ...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น