RC:บทที่ 292 มนุษย์หน้ากากลึกลับ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 292 มนุษย์หน้ากากลึกลับ 


 


หางสีดำของมังกรดำฟาดไปที่กลางอากาศ และทันใดนั้นมันก็เกิดเสียงแตกดังขึ้นมาจากความว่างเปล่านั้น รอยแตกเกิดขึ้นบนอากาศ รอยแตกขนาดใหญ่ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน 


 


ในจังหวะที่รอยแตกของอากาศเกิดขึ้น ร่างสีดำที่ปกคลุมตัวเองไว้ด้วยหน้ากากก็ปรากฏตัวออกมา นัยน์ตาของเขาที่ดูเยือกเย็นนั้นจ้องมองลงมายังพวกหลินเฟิง 


 


การที่ต้องเผชิญหน้ากับหางของมังกรดำนั้นไม่ได้ทำให้เขากลัวขึ้นมาเลย เพียงแค่วางมือของเขาไปเบาๆบนหางนั้น มันก็กระเด็นถอยออกไปก่อนที่ตัวของเขาเองจะถอยออกไปด้วย 


 


“เจ้า!? ข้าจำเจ้าได้! ข้าจำพลังนี่ได้!” มังกรดำมองไปยังชายผู้สวมหน้ากากก่อนที่จะม้วนร่างตัวเองกลมในขณะที่เกล็ดสีดำนั้นก็สะท้อนแสงเป็นเงางามด้วย 


 


“ราชาทมิฬ...ไม่ได้เจอนายมาตั้งนาน ดูเหมือนนายจะฟื้นแล้วสินะ!” เสียงของเขาดังขึ้นมา ถึงมันจะเป็นการพูดเหมือนกระซิบแต่มันทั้งแหบและไม่ทำให้รู้สึกดีเวลาฟังเสียเท่าไหร่ 


 


“ไม่ได้เจอมาตั้งนาน? อย่าบอกนะว่าเรื่องในวันนี้เป็นฝีมือของเจ้าน่ะ!” มังกรดำจ้องมองไปยังอีกฝ่าย นัยน์ตาของมันเองก็เยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยความโกรธและเกลียดชังแบบสุดๆ 


 


“ฮ่ะๆๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำแบบนี้อยู่แล้ว ลืมมันไปได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงแล้ว และฉันไม่อยากจะพูดถึงมันอีก! ตอนนี้ฉันก็แค่อยากมาพบเพื่อนเก่า แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องไปต่อแล้ว!”


 


ชายสวมหน้ากากเตรียมที่จะจากไป และทันใดนั้นลำแสงสีดำที่น่ากลัวและทรงพลังก็ถูกยิงออกมา มันทะลุเข้าไปในช่องว่างมิติที่เปิดออกนั้นและเข้าปะทะกับชายหน้ากากชุดดำทันที 


 


“นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะก่อสงครามกันนะ แล้วก็ นายในตอนนี้น่ะ ไม่ใช่ศัตรูของฉันหรอก ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายในตอนนี้น่ะ น่าจะมีพลังแค่ 1 ใน 10 จากเมื่อตอนสมัยนู้นใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆๆๆ”


 


ชายหน้ากากในชุดดำเอ่ยพร้อมยื่นแขนขวาออกไป และทันใดนั้นหลุมดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันกลืนกินแสงสีดำนั้นไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย


 


“ไปล่ะ ยังไงซะเดี๋ยวเราก็ต้องเจอกันอีกในอนาคตที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้แน่ๆ!” เขายิ้มให้ก่อนจะโบกมือให้มังกรดำแล้วจึงหายไปในความมืด 


 


กรร!! 


 


มังกรดำคำรามกู่ก้องไปบนท้องฟ้า


 


“กลับมา มังกรดำ!” หลินเฟิงพูด 


 


“ขอรับ นายท่าน!” จากนั้นมังกรดำก็หันหน้าและบินกลับเข้าไปยังเหนือหัวคิ้วของหลินเฟิงตามเดิม 


 


หลังจากที่มังกรดำหายไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบลง ทุกๆคนต่างมองไปยังหลินเฟิงด้วยความงุนงง 


 


“หือ? มองอะไรกันน่ะ?” หลินเฟิงพูดอะไรไม่ออกมาพักใหญ่ๆ 


 


“ร-ราชาทมิฬ! ทำไมราชาทมิฬถึงยกย่องเจ้าหนุ่มนี่ในฐานะเจ้านายกัน?” ในตอนนี้ คนแรกที่ออกอาการก็คือชายชราแห่งไม้เท้าจากตระกูลชางกวน 


 


“ราชาทมิฬ? อะไรคือราชาทมิฬ? อ้อ หรือว่าคุณปู่จะหมายถึงมังกรดำ? อ่า มีอะไรหรือเปล่า?” หลินเฟิงพูดออกมาหลังจากนิ่งไปนาน 


 


“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด! ทำไมราชาทมิฬถึงยอมรับนายเป็นนายเหนือหัวได้?” ชายชราแห่งไม้เท้ายังคงมองหลินเฟิงอยู่ตลอดเวลา 


 


“เลิกมองแบบนั้นได้แล้วน่า! ฉันไม่ได้สนใจในผู้ชายนะ โดยเฉพาะคุณปู่ด้วย….” หลินเฟิงมองสายตาแปลกๆของอีกฝ่ายและเริ่มรู้สึกสยิวๆขึ้นมาแล้ว


 


จริงๆในขณะเดียวกัน คนอื่นๆก็มองหลินเฟิงราวกับเป็นสมบัติหายากด้วย 


 


“อ่ะ...อ่า… ทุกคนจะเลิกมองกันได้หรือยัง...ฉันเองก็ไม่ใช่สาวสวยอะไรนะ ไม่มีค่าอะไรให้มองนานๆหรอกนะ...” หลินเฟิงพูด


 


ได้ยินดังนั้น ทุกๆคนก็หลบสายตาแปลกๆและสายตาที่ช็อกอยู่ครู่ใหญ่ๆไป 


 


“อามิตตาพุทธ! ท่านผู้มีพระคุณหลินคงจะถูกชะตากำหนดให้พบเจอกับโชคชะตาที่ดีสินะ แต่อย่างไรก็ตาม ใครก็ตามที่ชะตากำหนดให้โชคดี ผู้นั้นก็จะต้องถูกกำหนดให้โชคร้ายด้วยเช่นกัน จำคำอาตมาไว้ว่า ชีวิตหาได้เกิดมาเพื่อพบเจอแต่ความโชคดีหรอก แต่ชีวิตน่ะ มีไว้เพื่อเผชิญกับอุปสรรคต่างๆนะ” หลังจากที่ทุกๆคนกลับสู่สภาวะปกติกันแล้ว ปรมาจารย์เทียนซินก็เดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าแห่งเซนและพูดขึ้น 


 


“อืม...ผมไม่รู้หรอกนะว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆเลยสำหรับการช่วยเหลือในวันนี้!” หลินเฟิงพูดด้วยความหนักแน่น ก่อนหน้านี้ในหอประมูลนั้น หลินเฟิงขอปรมาจารย์เทียนซินไว้ว่า ให้ช่วยเขา เมื่อเขาออกจากที่นั่น ให้อีกฝ่ายช่วยขัดขวางพวกคนที่แข็งแกร่งระดับ SS ให้หน่อย 


 


ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดว่าประมาจารย์เทียนซินนั้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ด้วยตัวคนเดียว เขาสามารถขัดขวางพวกระดับ SS ได้ถึง 2 คนในเวลาเดียวกัน แถมยังชนะด้วยการยกมือขึ้นและซัดพวกนั้นกลับในคราเดียวด้วย ช่างเป็นความแข็งแกร่งที่หาตัวจับได้ยากจริงๆ 


 


“อามิตตพุทธ อาตมาก็ขอขอบพระคุณที่ท่านช่วยหาประคำพระพุทธองค์ให้เราเช่นกัน สิ่งนี้สำคัญต่อศาสนาพุทธมากๆ ความใจดีและมีน้ำใจเช่นนี้ ยังคงสูงส่งและถือเป็นบุญคุณมากมายนักยิ่งกว่าที่พระชราเช่นอาตมาช่วยท่านไปเมื่อครู่อีก ดังนั้นแล้ว หากในอนาคต ท่านผู้มีพระคุณต้องพบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ขอให้ท่าน จงไปยังวัดเทียนหยี่ และขอพบอาตมาได้เลย!” ปรมาจารย์เทียนซินพูด 


 


“อ่า ดีเลย ฉันนี่มันโชคดีจริงๆ!” หลินเฟิงรู้สึกอุ่นใจและพูดออกไปอย่างเขินอาย 


 


เขาไม่คิดเลยว่าการที่เขาผ่าหินแล้วได้มาซึ่งประคำพระพุทธเจ้าในตอนต้นนั้นจะทำให้เขาได้พบกับพระชราที่แกร่งขนาดนี้ หนำซ้ำเขายังถูกพระรูปนี้ช่วยไว้อีกด้วย 


 


“ความโชคดี ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อโชคชะตาเข้าสู่ด้านที่มืดมน! เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรที่อาตมาจะต้องทำแล้วในตอนนี้ อาตมาคงต้องขอตัว ท่านผู้มีพระคุณ เราคงจะได้เจอกันอีก พวกท่านก็เช่นกัน ไว้เจอกันใหม่นะ” ปรมาจารย์เทียนซินเอ่ย พร้อมๆกับทำความเคารพหลินเฟิง ชายชราแห่งไม้เท้าและคุณย่ายี่โหรว


 


“ท่านปรมาจารย์ ในอนาคตเราคงได้เจอกันอีก! ยินดีที่ได้พบพาน” ยี่โหรวและเฒ่าไม้เท้าเอ่ยเช่นกัน 


 


จากนั้นปรมาจารย์เทียนซินก็หายตัวไปในความมืดพร้อมกับลูกศิษย์ทั้งสองอย่าง ไร้กังวลและไร้เมตตา 


 


“น้องหลิน นายนี่มันโชคดีจริงๆ ฮ่าๆๆ พวกเราเองก็กำลังจะไปแล้ว อย่าลืมไปเยี่ยมเยียนตระกูลชางกวนบ้างล่ะถ้ามีโอกาส!” ลั่วหยูเทียนตบไหล่หลินเฟิงและพูด 


 


“ได้เลย ฉันจะไปถ้ามีโอกาส!” หลินเฟิงตอบ


 


“หนักแน่นดีนี่ งั้นก็ ลาก่อน” เมื่อนั้นลั่วหยูเทียนก็ไปหาชายชราแห่งไม้เท้า โบกมือให้หลินเฟิงและพูดก่อนจะหายไป 


 


ในตอนนี้ เหลือเพียงมู่หรงหลานเท่านั้นที่ยังอยู่ เธอจ้องมองมายังหลินเฟิงอยู่หลายครั้งสลับกับมองไปทางอื่นแบบอึกอัก พอหลินเฟิงมองมาทางเธอ เธอก็รีบหลบสายตาไป 


 


“แล้วพี่ล่ะ? จะไปเมื่อไหร่?” หลินเฟิงถาม


 


“ตอนนี้เลย!” คนที่ตอบคำถามของหลินเฟิงนั้นไม่ใช่มู่หรงหลาน แต่เป็นคุณย่ายี่โหรวแทน


 


เพียงสิ้นเสียง ร่าง 3 ร่างก็ปรากฏออกมาจากมิติซึ่งนั่นทำให้หลินเฟิงเกิดกลัวขึ้นมา


 


“ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นคนจากตระกูลมู่หรงน่ะ” ยี่โหรวพูด 


 


หลินเฟิงนั้นตระหนักรู้ได้พักหนึ่งแล้ว แต่กระนั้นเขาไม่สามารถระบุและรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับไหน ซึ่งสิ่งนี้นั้นทำเอาหลินเฟิงประหลาดใจมากๆ 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลินเฟิงเห็นว่าคุณย่ายี่โหรวปฏิบัติกับคนเหล่านั้นด้วยท่าทีที่ดูเท่าเทียมกัน มันจึงชัดเจนว่า คนพวกนี้เองก็น่าจะอยู่ระดับ SS ด้วย 


 


ทั้ง 3 คนนี้มาเพื่อคุ้มครองเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเพื่อนำกลับไปยังตระกูลมู่หรงอย่างปลอดภัย 


 


“ถ้างั้น ฉันไปแล้วนะ!” มู่หรงหลานมองไปยังหลินเฟิงและกัดริมฝีปากนิดหน่อยก่อนจะพูดออกไป 


 


“ลีลาซะจริง โอเค ไว้เจอกันนะ!” หลินเฟิงพูด แต่เขานั้นก็ไม่ได้ยินหญิงสาวโต้เถียงอะไร 


 


“ลาก่อน พ่อหนุ่ม” ยี่โหรวพูดพร้อมกับลากมู่หรงหลานไปด้วย 


 


หลินเฟิงมองไปยังทั้ง 3 ที่จู่ๆก็ปรากฏออกมา ทุกๆคนล้วนแข็งแกร่งมากๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบช็อกอยู่ข้างใน แต่ก็สมแล้วแหละที่คนเหล่านั้นเป็น 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ มีพวกระดับ SS ไว้ในครอบครองเยอะจริงๆ 


 


หลังจากที่ทุกๆคนไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงคน 3 คนนั่นก็คือ หลินเฟิง หวังฮ่าวหมิง และเติ้งเทียนฟูเท่านั้น 


 


“พวกเราเองก็ไปกันบ้างดีกว่า!” หลินเฟิงพูด จากนั้นเหนือคิ้วของเขาก็เปล่งแสง มังกรดำทะยานออกมาอีกครั้งและรับเอาทั้งสามขึ้นไปบนฟากฟ้าก่อนจะหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ 


 


ระหว่างทางหลินเฟิงก็เริ่มถามมังกรดำไปด้วยคำถามมากมาย “พูดมา ตอนนี้โอเคแล้ว! พี่หวังกับพี่เติ้งกำลังวุ่นๆกับเรื่องของตัวเองอยู่!”


 


“ขอรับนายท่าน! แต่...ข้าไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหนดี” มังกรดำคิดและพูดขึ้นมา 


 


“ถ้างั้น เดี๋ยวฉันจะถามนายเรื่อยๆ แล้วนายก็ตอบมาละกัน...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น