RC:บทที่ 289 เป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 289 เป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ


 


“พี่ลั่ว จะเป็นยังไงถ้าเราได้ตกลงอะไรกันเพิ่มนิดหน่อยน่ะ?” หลินเฟิงพูด 


 


“หือ? กำลังคิดเรื่องแย่ๆอะไรอยู่อีกล่ะ?” ลั่วหยูเทียนตอบกลับ 


 


จากครั้งแรกเมื่อหลินเฟิงเข้ามาพูดคุยกับเขา หลังจากที่ได้ตลบหลังหลงเฉาเทียนแล้ว ลั่วหยูเทียนก็พบว่าหลินเฟิงนั้นนับว่าเป็นคนที่น่าสนใจมากๆคนหนึ่งเลย 


 


ดูเหมือนว่าทั้งเขาและหลินเฟิงนั้นจะยังคงหลงเหลือความเป็นมิตรกันอยู่ ดังนั้นจึงสนใจมากๆเมื่ออีกฝ่ายบอกจะเจรจาด้วยข้อเสนอ 


 


“ฉันจะบอกวิธีที่จะกินผลไม้นั่นตอนนี้เลย!” หลินเฟิงไม่ได้ตอบเขาโดยตรงเพียงแค่บอกว่าเขาจะยอมแลกเปลี่ยนกับการบอกวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายใช้ผลไม้วิญญาณได้เต็มความสามารถแทน 


 


หลังจากที่ได้ยินวิธีที่จะใช้มันมาแล้ว ลั่วหยูเทียนก็ตระหนักได้ว่า หลินเฟิงนั้นไม่ได้หลอกลวงเขา เพราะถ้าเกิดเขากินมันเข้าไปตรงๆ ถึงแม้ว่ามันจะมีผล แต่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผลไม้วิญญาณนี้ วิธีที่หลินเฟิงให้มานั้นมันแตกต่าง ซึ่งถ้าทำตาม อย่างน้อยๆก็จะได้ความแข็งแกร่งมา 7-8 แต้มเลย


 


ไม่นานนัก หลินเฟิงก็ได้มีชัยเหนือลั่วหยูเทียนขึ้นมา “ขอบคุณ เอาล่ะ บอกฉันมาได้แล้วว่านายจะให้ฉันทำอะไร? หวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่จะให้ฉันยอมแพ้การประมูลรอบนี้หรอกนะ!?”


 


“ฺฮ่าๆๆ ดูเหมือนนายจะเดาถูก ใช่แล้ว ฉันหวังให้นายยอมแพ้การประมูลเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณนี้ซะ!” หลินเฟิงแตะจมูกตัวเองและรู้สึกได้ว่าเขากำลังไม่พอใจนิดๆอยู่ เพราะครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เขาขอให้อีกฝ่ายนั้นยอมแพ้การประมูลเช่นนี้


 


“งั้นให้เหตุผลฉันมาซิว่าถ้าทำแล้วฉันจะได้อะไร?” ลั่วหยูเทียนถาม 


 


“เหตุผลนั่นก็เพราะ นายไม่สามารถที่จะฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้ และอีกหลายๆอย่างก็ถูกเจ้าของก่อนหน้าขุดไปใช้หมดแล้ว ดังนั้นต่อให้นายได้มันไป มันก็ไม่ต่างกับเปลือกหอยที่เอาไว้ประดับบ้านหรอก!” หลินเฟิงพูดอธิาย 


 


จริงๆแล้วตั้งแต่ที่เมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้ปรากฎออกมา หลินเฟิงก็เริ่มที่จะใช้ฟังก์ชั่นตรวจสอบคุณสมบัติในการตรวจสอบมันมาแล้ว ซึ่งมันทำให้เขารู้เรื่องเมล็ดพันธุ์นี่แบบชัดเจนสุดๆ 


 


“โอ้? นายบอกให้ฉันยอมแพ้ แล้วนายจะบิดไปทำไมน่ะ? แล้วก็ในเมื่อนายบอกว่าฉันไม่มีทางฟื้นฟูมันได้ อย่าบอกนะว่านายมีทางฟื้นฟูมันน่ะ?” ลั่วหยูเทียนพูดด้วยความตื่นเต้นและสนใจ 


 


“ใช่ ฉันไม่หลอกนายหรอกนะ ฉันมีวิธีฟื้นฟูให้มันกลับมาใช้งานได้แต่ไม่ใช่ว่าจะฟื้นฟูมันได้ในปีเดียวหรอกนะ แล้วก็อาจจะฟื้นฟูได้ไม่ดีที่สุดด้วย!” หลินเฟิงพูด


 


หลังจากที่เขาใช้ฟังก์ชั่นในการตรวจสอบนั้น หลินเฟิงก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาต้องใช้อะไรบ้างในการซ่อมแซมและฟื้นฟูมัน เพราะตัวเลขจำนวนมหาศาลเหล่านั้นทำเอาหลินเฟิงรู้สึกว่ามันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย 


 


อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงนั้นมีฟังก์ชั่นของเกลียวคลื่นสีดำคอยช่วยอยู่ นอกจากนั้นภายในสถานีสะสมขยะของเขานั้นมีบ่อบำบัดน้ำเสียอยู่มากมายที่เพิ่งถูกสร้าง หลินเฟิงคาดการณ์ไว้ว่า มันคงต้องใช้เวลาอีกอย่างมาก 1 ปีในการที่จะสะสมวัตถุดิบสำหรับฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณนี้ 


 


“มันต่างกับที่ฉันเดาตรงไหนน่ะ? ฉันอยากจะรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้ขนาดไหน!” ลั่วหยูเทียนถามด้วยความสนใจ 


 


“ประมาณ 30% ส่วนหลักฐานก็คือ ฉันรู้วิธีลับๆที่ใช้ทำฟื้นฟูเจ้านี่โดยเฉพาะเลยนะ! สำหรับคนทั่วๆไปล่ะก็ ไม่สามารถมีโอกาสได้ถึง 10% หรอก! เพราะงั้นทั้ง 2 ตระกูลก่อนหน้าถึงไม่ลงแรงต่อยังไงล่ะ!” หลินเฟิงพูด


 


‘คนๆนี้…พูดจริงงั้นเหรอ? เขาจะไม่หลอกฉันใช่มั้ย?’ ลั่วหยูเทียนคิดในใจ 


 


“ไม่ต้องห่วง อะไรที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด” หลินเฟิงพูดซ้ำด้วยความจริงจัง


 


แต่กระนั้นภายในเขานั้นกลับคิดว่าเขาควรจะรีบๆหุบปากได้แล้ว เพราะระบบเกลียวคลื่นสีดำนั้นไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้หากจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบ 


 


ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะหลอกไปเรื่องวิธีการอะไรนั่น แต่เรื่องที่พูดมันก็เป็นเรื่องจริง การที่อีกฝ่ายได้มันไปนั้น ก็จะทำได้แค่ศึกษาและเก็บเป็นตัวอย่าง ไม่สามารถกลั่นเอาพลังของมันออกมาใช้ได้ 


 


“ถ้าฉันยอมแพ้การประมูลในครั้งนี้ ฉันคงโดนตระกูลลงโทษแน่ๆ นายจะทำอะไรเพื่อช่วยฉันล่ะ?” ลั่วหยูเทียนถาม 


 


ในทันทีที่ได้ยินดังนี้ หลินเฟิงก็โล่งใจและยิ้มก่อนจะพูด “ฉันคิดว่านายน่าจะมีพลังพอที่จะสยบฟ้าได้แล้วนะ แต่ระดับดันอยู่ที่ B ซะนี่ แถมพลังกายนายก็ยังอ่อนแออีก อืมมมม ถ้าเป็นจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกเพื่อช่วยเสริมสร้างพลังกายของนายล่ะ?”


 


มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของ ซึ่งอยู่ภายในเกลียวคลื่นสีดำอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มันจะดีกว่าถ้าเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่กับคนอื่น 


 


“ได้!”


 


“โอเค ดีล!”


 


การพูดคุยกันระหว่างทั้งสองนั้นดูเหมือนจะช้า แต่จริงๆมันเร็วมากๆ 


 


ในทันทีที่ลั่วหยูเทียนยอมแพ้ ก็ไม่มีใครมาบิดเจ้าสิ่งนี้เพิ่มอีก ในท้ายสุด หลินเฟิงและพรรคพวกก็ได้ของชิ้นนี้ไป 


 


“ขอบคุณมากๆเลยหลินเฟิง! ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายด้วยหินวิญญาณล้านชิ้น เพราะงั้นถ้ากลับไปยังตระกูลเรียบร้อยแล้ว ฉันจะรีบจัดการเรื่องนี้และคืนมันให้นายทันทีเลย!” มู่หรงหลานพูดอย่างมีความสุข


 


ในเวลานี้ หากไม่มีหลินเฟิง เธอคงไม่สามารถซื้อเจ้านี่มาด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ได้ หินวิญญาณ 4 ล้านชิ้นนั้น เทียบเท่ากับรายได้กว่าครึ่งปีของตระกูลของเธอเลย 


 


เหตุผลที่เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ครอบครัวของเธอนั้นประมาณการผิด และให้หินวิญญาณเธอมาเพียง 2.5 ล้านชิ้นเท่านั้น ถึงจะรวมกับหินวิญญาณของเธอได้อีก 340,000  ยังไงมันก็ยังน้อยกว่า 3 ล้านอยู่ดี 


 


ดังนั้นแล้ว เธอจำเป็นต้องขอบคุณหลินเฟิงมากๆ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอเองก็ไม่อาจจะได้ครอบครองเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเช่นนี้ 


 


“ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า มันแค่ล้านเดียวเอง พี่ช่วยฉันมาก็ต้องเยอะต้องแยะแล้วนา” หลินเฟิงพูด 


 


“จะให้ฉันเมินเฉยได้ยังไงกัน? หินวิญญาณ 1 ล้านชิ้นนั่นน่ะ ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ!” มู่หรงหลานเถียง 


 


“เข้าใจ แต่พี่ไม่ต้องคืนหินวิญญาณมาให้ฉันก็ได้ ฉันคิดว่าถ้าเกิดพวกพี่เองไม่ได้อะไรจากการศึกษามัน แล้วก็ไม่ได้อยากจะขายมัน พี่จะทิ้งมันมาให้ฉันก็ได้นะ” หลินเฟิงพูดในสิ่งที่ต้องการออกไป 


 


“แน่นอนว่าถ้าพี่อยากจะเสนออะไรหรือคิดอะไรอยู่ก็บอกมาได้เลยนะ แต่ยังไงก็ตาม พี่ไม่ต้องหาหินวิญญาณมาคืนฉันหรอก” หลินเฟิงพูดย้ำอีกครั้ง


 


รอบๆตัวเขาเองไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ต้องใช้หินวิญญาณขนาดนั้น ต่อให้มีหินวิญญาณเพียง 1 แสนชิ้น มันก็เพียงพอที่เขาจะใช้มันได้เป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นสำหรับหลินเฟิง หินวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก 


 


“ได้ ฉันจะไปคุยกับตระกูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจนละกัน” มู่หรงหลานพูด


 


“อะแฮ่ม ทุกๆท่าน ขอขอบคุณที่มาร่วมงานประมูลสินค้าในครั้งนี้ การประมูลในวันนี้ได้จบลงแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในขั้นตอนการนำเอาของในคลังกลับมาขายใหม่ ดังนั้น ขอให้ทุกท่านสนุกกับการซื้อของภายในวันนี้” เมื่อชายผู้เป็นผู้ดูแลหอประมูลแห่งนี้พูดจบ ผู้คนทั้งหมดต่างก็พากันทยอยออกไปและเดินหาของที่พวกเขาต้องการ 


 


ในตอนนั้น พวกหลินเฟิงเองก็ออกจากหอประมูลและเดินกลับไปยังตลาดมืดอีกครั้ง หลินเฟิงนั้นพบว่าตัวเขาเองถูกคนจำนวนมากจ้องมองอยู่ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้อะไร 


 


ในเวลาไม่นาน คน 2 กลุ่มก็มาหาหลินเฟิง ด้านหนึ่งเป็นพระ 3 รูป ก็คือพระชราและพระหนุ่มทั้งสอง พวกเขาคือปรมาจารย์เทียนซินและลูกศิษย์ทั้งสองอย่างไร้กังวลและไร้เมตตานั่นเอง 


 


ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือลั่วหยูเทียนและคนอื่นๆ นอกเหนือจากลั่วหยูเทียนแล้ว ที่นี่ยังมีคนอีก 2 คนที่มีความแข็งแกร่งไม่แพ้กัน ซึ่งทั้งสองนั้นแข็งแกร่งอย่างน้อยก็ต้องระดับ S แล้ว 


 


“อามิตตาพุทธ เผยตัวออกมาเถิดท่านทั้งสอง” ปรมาจารย์เทียนซินพูดกับทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม 


 


“ยินดีที่ได้พบ ปรมาจารย์เทียนซิน และท่านผู้อาวุโสแห่งชางกวน”


 


“ยินดีที่ได้พบ ท่านปรมาจารย์เทียนซิน แล้วก็ยี่หรง”


 


ทั้งสองร่างปรากฎตัวออกมา คนหนึ่งคือหญิงชราที่คอยอยู่ด้านหลังมู่หรงหลานตลอด ซึ่งเธอคนนี้มีความแข็งแกร่งระดับ SS 


 


ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นคนที่ตามหลังลั่วหยูเทียนอีกทีผู้ที่ซึ่งมีความแข็งแกร่งระดับ SS เช่นกัน เขาเป็นชายชราที่ซึ่งมีสุนัขอยู่รอบๆตัว ร่างกายของเขานั้นดูแก่มากๆ เป็นชายชราหลังค่อมที่ต้องใช้ไม้เท้าพยุงแขน แต่ความแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยออกมานั้นแทบจะไม่ต่างกับปรมาจารย์เทียนซินเลย


 


“ยินดีที่ได้พบทั้งสองท่านเลย!” ปรมาจารย์เทียนซินกล่าว


 


“นี่ใครน่ะ?” หลินเฟิงกระซิบถามมู่หรงหลาน 


 


“นี่คือผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลชางกวน เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว แล้วก็เหมือนจะอายุเยอะกว่าคุณย่าฉันอีกนะ!” มู่หรงหลานอธิบาย 


 


ได้ยินดังนั้น หลินเฟิงก็ช็อกไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วในทันที จากนั้นเขาก็เดินไปทางลั่วหยูเทียน มองอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้


 


จากนั้นทั้ง 3 กลุ่มก็พากันเดินออกจากตลาดมืดไป 


 


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น