RC:บทที่ 273 สลัดพวกที่คอยแอบตาม
“เศรษฐี?” ได้ยินดังนั้นหลินเฟิงก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าภายในคลังของเขานั้นมีเงินทะลุล้านไปเสียแล้ว
หลินเฟิงนั้นนึกถึงเรื่องต่างๆได้มากมาย โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เติ้งเทียนฟูและหวังฮ่าวหมิงเปิดร้านขายของไปทั่วเขต G รวมไปถึงมีกระจายไปนอกเขตอีกด้วย
การเติบโตขึ้นของรายได้นั้นเกือบจะเร็วเท่าที่หลินเฟิงคิดเลย ถึงจะไม่ได้เข้าไปดูมันนานแล้ว แต่ก็พอจะเดาไว้แล้วว่าซักวันหนึ่งมันต้องมาถึงจุดนี้
“ใช่ นายเพิ่งจะชนะการแข่งขันเมื่อครู่ไป บวกกับเงิน 5 แสนที่ได้จากการขายจิตวิญญาณแห่งไฟนั่นอีก ไม่แปลกที่จะมีหินวิญญาณทะลุล้านนะ!” มู่หรงหลานพูด
“จริงสิ อย่างที่คุณพูดเลย” หลินเฟิงลูบหลังหัวตัวเองและตอบกลับขณะที่ตัวเองก็กำลังคิดเรื่องเงินนี่อยู่
“หือ นายกำลังคิดอะไรอยู่หรือไง?” ในตอนนั้น เด็กสาวที่อยู่หลังมู่หรงหลานหรือก็คือเสี่ยวหลิงก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ ก็...”
“เอาล่ะ ไปกันก่อนดีกว่า ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นที่จับตามองของคนหลายๆคนไปแล้วนะ” ขณะที่หลินเฟิงกำลังเลิ่กลั่ก มู่หรงหลานก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติเธอจึงลูบหลังเขาและบอกไป
“อ้า! ใช่เลย!” เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจีงรีบออกไปอย่างรวดเร็วและหายไปในตลาดมืด
หลังจากพวกเขาหายไปได้ไม่นาน ผู้คนราวๆ 7-8 คนที่ซึ่งสวมหน้ากากและชุดสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนนั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่ไม่ต่ำเลย
“ทางนี้ ไล่ตามไปเร็ว!” พูดจบกลุ่มคนที่สวมชุดสีดำก็รีบวิ่งตามไปทันที
เมื่อกลุ่มคนที่สวมชุดดำไปแล้ว ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเขา แถมความแข็งแกร่งเองก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากลุ่มแรก วิ่งตามมาติดๆ
ภายในความมืดมิด ยังมีเงาของ 2 ร่างนั้นเฝ้ามองภาพตรงหน้าอยู่เงียบๆ พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศและแผ่ความเกรงขามออกมาเรื่อยๆ 1 ในสองคนนี้พูดขึ้น “ลืมมันไปซะ ไปที่อื่นดีกว่า! จิตวิญญาณแห่งไฟถูกขายให้กับผู้นำแห่งทุ่งหินโบราณไปแล้ว”
“นายจะบ้ารึไงน่ะ! หมอนั่นมีหินวิญญาณอย่างๆน้อยๆก็ 1 แสนก้อนเลยนะ! ถ้านายได้ตัวหมอนั้นมา นายจะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ไม่ยากเลย! รู้แบบนี้แล้วทำไมยังนิ่งอยู่อีก?” เขาถามอีกคน
“ไม่ใช่ไม่ทำอะไร แต่ไม่กล้าทำต่างหาก นายไม่เห็นเด็กสาวจากตระกูลมู่หรงที่ตามหมอนั่นมาด้วยหรือไง?” อีกคนถามกลับ
“แล้วไง?”
“แล้วไงงั้นเหรอ? นายไม่รู้หรือไงว่าความสามารถของเธอคนนั้นน่ะสามารถจับนายหักกระดูกเป็นท่อนๆได้ในทันทีเลยนะ!” พอพูดจบเขาก็เป็นฝ่ายออกไปก่อนเลย
“ยัยนั่นแข็งแกร่งขนาดเลยหรือไง?” เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูดทิ้งท้าย เขาก็ประหลาดใจมากก่อนจะรีบตามไป
“ไร้สาระน่า…”
“ฟู่! ในที่สุดก็สลัดหลุดซักที” หลินเฟิงลูบอกตัวเองอย่างโล่งใจและหายใจหอบ
“นายไปทำอะไรมา? ทำไมคนพวกนั้นถึงไล่ล่านาย? แถมดูจะไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวซะด้วย” มู่หรงหลายถาม
“จริงๆก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่ทำรายได้มากขึ้นเฉยๆ” หลินเฟิงตอบ
“ทำรายได้มากขึ้น? ทำไปเท่าไหร่ล่ะนั่น?” เธอถามต่อด้วยความตื่นเต้น
“ไม่รู้สิ แต่คิดว่าน่าจะราวๆ 7 แสนนะ” หลินเฟิงยิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น
“7 แสน!” เมื่อหวังฮ่าวหมิงและเติ้งเทียนฟูได้ยินดังนั้น ตาพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาเลย เพราะนั่นมันหมายถึงตอนนี้หลินเฟิงมีหินวิญญาณอย่างน้อย 7 แสนก้อนอยู่ในช่องว่างของมิติแล้ว ซึ่งนี่เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ
อย่าว่าแต่หวังฮ่าวหมิงและเติ้งเทียนฟูที่ช็อกเลย เพราะแม้แต่มู่หรงหลานเองก็ตกใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าตัวตนของมู่หรงหลานนั้นจะเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่เคยมีหินวิญญาณถึง 4 แสนก้อนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะตระกูลของเธอขอให้เธอถ่ายรูปและซื้อของไปเผื่อด้วยอีก ตอนนี้น่ะ ขอให้เหลือถึง 3 แสนก้อนก็บุญแค่ไหนแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าไม่เจอพักนึงนายจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ทางกายแต่เหมือนสมองนายก็จะดีขึ้นด้วย นายมาถึงที่นี่แล้วยังทำเงินล้านได้อีกนะ!” มู่หรงหลานเองก็ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่พูด
“ฮ่าๆๆ จริงๆมันมีอีกหลายเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงนะ” หลินเฟิงมองเธอกลับด้วยความภาคภูมิใจ
“ลืมมันไปซะ! ถือว่าฉันไม่ได้พูด ตอนนี้น่ะ พวกนายต้องไปเปลี่ยนหน้ากากกับเสื้อผ้าก่อน แล้วก็ช่วยซ่อนพลังปราณของพวกนายด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเป้าสายตาอีก!” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“เป็นความคิดที่ดี ขอบคุณมากๆเลยที่เตือน!” จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็รีบเปลี่ยนหน้ากากกับเสื้อผ้าและซ่อนพลังปราณของพวกเขาในทันที
“หลินเฟิง ทั้งสองคนที่มาด้วยนี่ดูจะไม่ธรรมดาเลยนี่ จะแนะนำหน่อยมั้ย?” หลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว มู่หรงหลานก็มองไปยังเติ้งเทียนฟูและหวังฮ่าวหมิงก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา
“โอ้ เพราะมัวแต่หนีคนพวกนั้นก็เลยลืมที่จะแนะนำทั้งสองคนนี้ให้รู้จักไปเลย!” หลินเฟิงพูด
“นี่คือท่านพี่หวังฮ่าวหมิงจากตระกูลอู๋หยางที่เป็น 1 ใน 10 ตระกูลชั้นนำ ส่วนทางนี้เป็นท่านพี่เติ้งเทียนฟูจากตระกูลกงซุน ทั้งสองเป็นคู่หูทางธุรกิจของฉัน ท่านพี่ทั้งสอง ทางนี้คือท่านหญิงมู่หรงหลานจากตระกูลมู่หรง ส่วนด้านหลังนั่นคือ เสี่ยวหลิง”
หลินเฟิงแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายให้ได้รู้จักกันเพื่อที่จะได้ไม่มีข้อสงสัยอะไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินเฟิงแนะนำมู่หรงหลานให้พี่ทั้งสองรู้จัก หวังฮ่าวหมิงและเติ้งเทียนฟูก็พากันตกใจแบบแสดงออกมาอย่างชัดเจนก่อนจะสลัดท่าทีนั้นทิ้งไป
“จากตระกูลชั้นนำแต่ไม่ได้ใช้สกุลเดียวกับตระกูล พวกนายเองไม่ใช่ศิษย์ในตระกูลสินะ?” มู่หรงหลานถาม เธอนั้นรู้อยู่แล้วถึงกฏที่ตั้งไว้ใน 10 ตระกูลชั้นนำ
(**ผู้แปลงง ราวกับผู้แต่งจะจำไม่ได้ว่า หวังฮ่าวหมิงเคยจัดการวันเกิดให้ซูหว๋านเอ๋อ และรู้จัก มู่หรงหรานแต่ตอนนี้ราวกับไม่รู้จักกัน)
นั่นเพราะว่าในตระกูลของเธอเองก็มีคนแบบนี้ เมื่อพวกเขายังเด็ก ความสามารถของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นที่โปรดปราน เพราะงั้นจึงถูกไล่ออกจากตระกูลและไม่ให้เอาชื่อสกุลของตระกูลไปใช้จนกว่าจะทำลายข้อกังขานั้นได้จึงจะสามารถกลับเข้าตระกูลได้อีกครั้ง
“ใช่แล้ว ตามที่ท่านหญิงมู่หรงหลานพูดนั่นแหละ แต่จะว่าไป ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมาเยอะอยู่นะ!” หวังฮ่าวหมิงพูด
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอท่านหญิงมู่หรงหลานในที่แบบนี้ ฉันนี่มันโชคดีจริงๆ!” เติ้งเทียนฟูเองก็พูดตาม
มองไปยังท่าทีของทั้งสอง หลินเฟิงก็เกิดงงขึ้นมานิดหน่อย แต่นี่ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องแบบนี้ เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไร
“ยินดีที่ได้พบ แล้วว่าแต่พวกนายได้กลับเข้าไปยังตระกูลหรือยัง?” มู่หรงหลานดูสงบนิ่งและค่อยๆถามพวกเขา
“ไม่ พวกเราไม่ได้กลับไปนานแล้ว” หวังฮ่าวหมิงพูด
“โอ๊ะ!” ได้ยินดังนั้นมู่หรงหลานก็เลือกที่จะหยุดพูดเรื่องนี้ไปทันทีเลย เพราะเธอนั้รู้ว่า มีหลายๆคนที่หากเคยถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว ก็ไม่ได้หวังจะกลับเข้าไปอีกเมื่อเจริญในหน้าที่การงานแล้ว
“พี่หลาน พี่จะไปไหนกันน่ะ?” หลินเฟิงถาม
หลังจากที่คลุกคลีกันอยู่นาน หลินเฟิงจึงชอบที่จะเรียกเธอว่า พี่หลาน เนื่องจากตัวมู่หรงหลานเองนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนพี่สาวแบบสุดๆ ไม่เพียงแค่สวยเท่านั้น แต่เธอยังมีทักษะรอบด้านรวมถึงเป็นคนตรงไปตรงมาในหน้าที่การงานของตนเองอีกด้วย เพราะงั้นเธอจึงดูเป็นคนที่สุดยอด ทรงพลัง และสง่างามแบบสุดๆไปเลย
“ฉันมาที่นี่เพราะจุดประสงค์ของฉันน่ะ ว่าจะไปประมูลอะไรซักหน่อย แล้วพวกนายล่ะ?” มู่หรงหลานถาม
“ที่หอประมูลเหรอ? ดีเลย พวกเราก็จะไปที่หอประมูลนั่นเหมือนกัน!” หลินเฟิงพูดแบบตื่นเต้น
“นายก็จะไปงั้นเหรอ? หอประมูลนั่นเป็นที่ที่เกือบจะมีค่าที่สุดในละแวกนี้แล้ว เพราะงั้นไปด้วยกันก็ได้!” มู่หรงหลานพูดก่อนจะพาหลินเฟิงไปยังหอประมูลนั้น
เมื่อพวกเขามาถึงทางเข้าด้านหน้า ผู้คนมากมายต่างกำลังเข้าคิวกันอยู่เพื่อรอจ่ายค่าเข้าประตู เมื่อมองเลยขึ้นไปพวกเขาก็พบว่าค่าเข้านั้นมันกดขี่กันมากๆ เพราะมันใช้หินวิญญาณถึง 5000 เลยทีเดียว
“นี่ล้อเล่นกันหรือเปล่าเนี่ย? แค่เข้าไปในนั้นต้องจ่ายถึง 5 พันเลยเหรอ?” มองไปยังป้ายประกาศของหอประมูล หลินเฟิงโพล่งปากออกมาทันที
“จริงๆก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ เพราะถึงแม้หอประมูลนี่จะใหญ่ แต่มันก็ชอบมีพวกที่เข้ามานั่งแช่แป้งไม่ยอมออกทั้งๆที่ไม่ได้มาประมูลอะไร แล้วท้ายสุดที่ๆกว้างใหญ่ก็จะไม่พอ ดังนั้นแล้วที่นี่จะเก็บค่าเข้าก็เป็นเรื่องปกติแล้ว ถือว่าคัดคนไปพลางๆ” มู่หรงหลานเอ่ยตอบอย่างสง่าผ่าเผยเช่นเดียวกับท่าเดินของเธอ
“โอ้ ถ้างั้นก็เหมาะสมแล้ว ไปกันเถอะ! เข้าไปดูกันเลย..”
0 ความคิดเห็น