RC:บทที่ 59 ความลำบากใจของลูกพี่ลูกน้อง

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 59 ความลำบากใจของลูกพี่ลูกน้อง


 “ไง คิงคอง นี่ฉันเอง ไอ้เจ้าบ้าไง” หลิน เฟิงตอบไป


คิงคองคือชื่อเล่นของตู๋ กังในห้องเรียน เพราะเขาแข็งแรงมาก ตัวสูงถึง 185 ซม.ซึ่งสูงเป็นพิเศษ ดังนั้น เขาจึงถูกเรียกว่าคิงคอง


ส่วนชื่อเล่นของหลิน เฟิงก็คือเจ้าบ้า เพราะเขาเป็นเด็กบ้าเรียนที่ใครต่อใครรู้จักตอนเรียนมัธยมปลาย เพราะถ้าเขาหมกมุ่นอยู่กับการเรียนเมื่อใด เขาก็จะลืมแม้กระทั่งกินข้าว เขาเลยถูกเรียกว่าไอ้เจ้าบ้า


“ฉิบหาย ไอ้เจ้าบ้านี่เอง ไม่เจอกันหลายปีเลยนะ อยากจะบ้าตาย ฉันไม่คิดว่านายจะจำฉันได้นะเนี่ย” เสียงเข้มขึงขังนั้นดังมาจากคู่สนทนา


เมื่อได้ฟังเสียงนั้น หลิน เฟิงกวงก็รู้สึกได้เลยว่าตู๋ กังที่อยู่ปลายสายนั้นแข็งแรงแค่ไหน อาจจะแข็งแรงกว่าปีก่อนๆเลยด้วยซ้ำ


“ฮ่าๆ ฉันจะลืมนายได้ยังไง แล้วหมาสองตัวกับเจ้าจ๋อล่ะ เป็นยังไงกันบ้าง ตั้งแต่เราจบจากม.ต้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” 


ตอนที่หลิน เฟิงเรียนอยู่มัธยมต้น มีคนอยู่สี่คนอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกัน


นอกจากเขากับตู๋ กังแล้ว ก็ยังมีหมาสองตัวกับเจ้าจ๋อ พวกเขาต่างเล่นกันสนุกสนานตอนที่เรียนอยู่มอต้น


เอ๋อร์ กู้ซี (หมาสอง)​ซึ่งชื่อของเขาก็คือหลี ฮัว มักจะวิ่งออกไปมีเรื่องและใช้อินเทอร์เน็ตอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่เขากลับมา เอ๋อร์ กู้ซีก็จะมารับตัวเขาไปก่อนจะแจ้งเรื่องโน่นนี่กับเขา เขาจึงได้ชื่อว่านักวิ่งเอ๋อร์ กู้ซี 


ส่วนเจ้าจ๋อนั้นมีชื่อว่าหวัง ไค ครอบครัวของเขายากจนมาก จะกินหรือจะหาเสื้อใส่นั้นก็ลำบาก แถมยังผอมเหมือนกับลิง พวกเราเลยเรียกเขาว่าเจ้าจ๋อ


 “ไม่รู้สิ ตั้งแต่ที่ฉันไม่ได้เรียน ฉันก็แทบไม่ได้ติดต่อใครเลย ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านี่ฉันทำแบบนั้นไปได้ยังไง” ตู๋กังถอนหายใจ


“ยังมีเวลาน่า มาเจอกันหน่อยเป็นไร พวกเราไม่ได้เจอกันมาตั้งห้าหรือหกปีแล้วนะ”


เมื่อผมนึกย้อนไปตอนที่เรียนอยู่มัธยมต้น หลิน เฟิงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ส่วนตอนนี้ เขากลับมีชีวิตที่เป็นอิสระและมีเวลาในแบบที่คนอื่นอยากมี


“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้น นายก็ไม่ได้แค่มาหาฉันเพื่อจะมารำลึกถึงความหลังสินะ”


ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่กล้ามเนื้อที่พัฒนา แต่สมองของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นด้วย ในความเป็นจริงนั้น เขาเป็นคนที่ใส่ใจ เขายังรู้เรื่องของหลิน เฟิงด้วยว่าหลิน เฟิงไม่ใช่คนที่ไปห้องโถงที่เก็บสมบัติสามอย่าง แต่จะต้องมีบางอย่างที่หาเขาอยู่


“ฮ่าๆ หรือไม่ก็คิงคอง นายก็รู้จักฉันสินะ ฉันจำได้ว่านายได้ไปเรียนการขุดก่อนจะออกจากมอต้นเสียอีก ใช่ไหมล่ะ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ” หลิน เฟิงถามขึ้น


“ก็เหมือนๆเดิมนั่นล่ะ ทำงานกับพวกนักขุดในทีมก่อสร้างน่ะหรือ นายถามทำไม” ตู๋ กังถาม


“ฉันมีที่ดินผืนใหญ่ที่นี่ และอยากจะหาคนขุดให้ช่วยขุดให้ฉันเป็นรูใหญ่ ฉันไม่รู้ว่านายยังขุดอยู่ไหม ฉันต้องการขอความช่วยเหลือ และฉันจะจ่ายนายตามราคาตลาดแน่นอน” หลิน เฟิงพูดขึ้น


“ความสัมพันธ์ระหว่างเราคืออะไร เงินคืออะไร ตอนนี้ฉันรู้สึกเซ็งเป็นบ้า ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปดูเพื่อที่จะขุดให้นายแน่” ตู๋ กังว่าขึ้นด้วยเสียงห้วนๆ


ตู๋ กังคิดว่าหลิน เฟิงคงอยากจะให้ขุดแค่รูเล็กๆ แล้วก็ทำโน่นนี่อื่นๆ เขาจึงตกลงในทันที สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นเพียงใด


“ไม่ๆๆ นายอาจจะยังไม่รู้ว่าที่ดินที่ฉันกำลังจะขุดนั้นมากแค่ไหน ฉันจะขอทีมก่อสร้างไปสร้างที่โรงเก็บขยะกับบ่อให้ฉันหน่อย ถ้านายรู้จักคนที่อยู่ในวงการนี้ ก็แนะนำเขาให้ฉันด้วย” หลิน เฟิงว่าขึ้น


เจตนาดีของตู๋ กังนั้นหลิน เฟิงเข้าใจดี แต่ตู๋ กังไม่รู้น่ะสิว่าบ่อขยะที่กำลังจะสร้างนั้นใหญ่แค่ไหน ต้องใช้เวลาและพลังงานมากเท่าใด ดังนั้น หลิน เฟิงจึงปฏิเสธเจตนาที่ดีนั่นของเขาไป


หลิน เฟิงได้ประเมินแล้วว่าคงใช้เวลาอย่างน้อยสำหรับเขาแล้ว สี่ถึงห้าวันที่จะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ  และนี่ยังเป็นเรื่องของคนหมู่มากด้วย เขาจึงต้องปฏิเสธความปรารถนาดีของตู๋ กังไป


“เอาล่ะ เดี๋ยวไปดูพรุ่งนี้ก็ได้” 


หลังจากได้ทำการนัดหมายกับตู๋ กังแล้วนั้น เขาก็เข้าไปในบ้านทันทีที่กลับไปถึงและเพราะมีคนสามคนนั่งอยู่ในห้องตอนนี้กำลังจ้องมองเขาอยู่


คนหนึ่งคือแม่ของเขา ส่วนอีกคนอยู่ในวัยใกล้ 50 ปี ส่วนอีกคนก็น่าจะเท่าๆกับหลิน เฟิง


“เอ่อ พ่อกลับมาแล้วหรือครับ ไม่เห็นตั้งหลายวันเลย” หลิน เฟิงดีใจสุดๆที่ได้เห็นพ่อของตนกลับมา


ชายคนนั้นก็คือพ่อของหลิน เฟิง ชื่อว่าหลิน ต้าไห่ หัวล้านบางส่วน ผอมเล็กน้อย แต่เป็นคนใจดี


“นี่ ลูก อย่าทำแบบนี้ ดูก่อนว่าใครมา” 


หลิน ต้าไห่ชี้ไปยังชายอีกคน


“เอ นี่คือลูกพี่ลูกน้องที่นิสัยซื่อๆไม่ใช่หรือ ไม่เห็นหน้ากันหลายปีเลยนะ โตขึ้นเยอะเลย” หลิน เฟิงเห็นดวงตานั่นก่อนจะจำเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาได้


เด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของหลิน เฟิง อ่อนกว่าเขาสองปี ชื่อของเขาคือ เจา จื้อเฉิง


“พี่เฟิง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”


เจา จื้อเฉิงเองก็ยิ้มให้หลิน เฟิงด้วย แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงตาของเจา จื้อเฉิงก็แดงก่ำ หม่นเศร้า ดูท่าจะมีปัญหามาแน่ๆ


“จื้อเฉิง นายเป็นอะไรไป ทำไมตาแดงๆ มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือเปล่า” เมื่อเห็นหน้าตาของเขาในตอนนี้ หลิน เฟิงก็นึกห่วงขึ้นมาทันที


“ฮือๆ พี่เฟิง พี่ช่วยผมด้วย ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” 


ทันทีที่หลิน เฟิงพูดจบ เจา จื้อเฉิงก็เริ่มร้องไห้ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นลงไปหมอบคลานต่อหน้าหลิน เฟิงและพ่อแม่


หลิน เฟิงยังคงสับสน เขาไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น


“เอ่อ มันเกิดอะไรขึ้น พวก ร้องไห้ทำไม ลุกขึ้นมาก่อนเร็ว อย่าไปคุกเข่ากับพื้นแบบนั้นสิ” 


หลิน เฟิงเข้าไปช่วยเจา จื้อเฉิงให้ลุกขึ้น


“เสี่ยวเฟิง เรื่องมันเป็นแบบนี้  ครอบครัวของจื้อเฉิงกำลังประสบกับสภาพที่ย่ำแย่ ตอนนี้แม่ก็มาป่วยหนักนอนอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนลูกสะใภ้ของเธอก็กำลังท้อง  เห็นว่าเป็นเด็กแฝดที่จะต้องผ่าคลอด กำหนดผ่าคลอดอีกไม่ถึงเดือนแล้วด้วย ทีนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งสองอย่างก็จำเป็นต้องใช้เป็นค่ารักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนทั้งคู่เลย”


พ่อของหลิน เฟิงอย่างหลิน ต้าไห่เองนั้นก็ได้อธิบายว่าทุกวันนี้เขาก็ยังไปที่บ้านคุณย่าเพื่อช่วยดูแลแม่ของเจา จื้อเฉิงที่ล้มป่วยหนัก


“แต่จื้อเฉิงทำงานอยู่ในไซต์ก่อสร้าง เงินเดือนน้อยกว่า 3000 หยวน เขาต้องจ่ายค่ารักษาให้แม่ แล้วเขายังเป็นหนี้ค่ายาอีกหลายพัน ไม่สามารถจ่ายคืนเขาได้”


 “แล้วพอตอนนี้ลูกก็กำลังจะเกิด แถมเป็นแฝดอีก แล้วนี่ไหนจะนมผง ผ้าอ้อมและของใช้อื่นๆก็มีค่าใช้จ่ายสูงๆทั้งนั้น เด็กยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย เขาก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากเรา พ่อก็เลยให้เขามาคุยกับลูกน่ะ”


เจา จื้อเฉิงเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก และเขาเองก็ไม่ได้เรียนดีนัก เขาออกจากมัธยมปลายกลางคัน แล้วมาทำงานในไซต์ก่อสร้างกับคนอื่นๆ เขาอายุแค่ 20 ปีและกำลังจะกลายเป็นพ่อคน ความกดดันในชีวิตทำให้เขาโงหัวขึ้นมาไม่ได้เลย


ในปีที่ผ่านมานี้ แม่ของเขาเข้าโรงพยาบาลมาเป็นเวลาหลายปีเนื่องจากป่วยหนัก


เงินเดือนอันน้อยนิดของเขาจากการทำงานไซต์ก่อสร้างนั้นแทบไม่พอจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่แบบนั้นได้เลย


ตอนนี้ ภรรยาของเขาก็กำลังจะคลอดลูก ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลสำหรับทั้งสองเรื่องนั้นมาไวมาก ทำเอาเขาเกือบจะถังแตก


“เพราะนี่ไม่รู้จะทำยังไงมาสักพักแล้ว พ่อก็เลยพาเขามาคุยกับแม่ของลูกเพื่อช่วยเขาแก้ไขปัญหาตรงนี้ เพราะยังไงเราก็คือญาติที่เขาสนิทที่สุด” คนเป็นพ่อว่าขึ้น


เนื่องด้วยค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นมีราคาเป็นหลายหมื่นหยวน หลิน ต้าไห่จึงยังคงลังเล ดังนั้นเขาจึงพาเจา จื้อเฉิงมาคุยกันที่บ้าน


 “แล้วนายเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลอยู่เท่าไหร่ แล้วก็เรื่องค่าใช้จ่ายของเด็กล่ะ”


หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้วนั้น หลิน เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่ถามว่าค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่เพียงแค่นั้น


“ผมเป็นหนี้ค่ารักษาแม่อยู่ 5000 กว่าหยวน ส่วนลูกนั้นประเมินว่าน่าจะเกือบๆ 5000 หยวนเลย” เจา จื้อเฉิงปาดน้ำตาก่อนจะพูดขึ้น


“เพิ่มมาอีก 10000 สำหรับค่าอยู่ค่ากินในอนาคตของเด็กด้วย มีนมผง ผ้าอ้อมและค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก มีของจำเป็นอีกเยอะเลย”


“เอาล่ะ ฉันจะให้นายยืม 20000 เลยตอนนี้...”


     

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น