RC:บทที่ 48 สรรพเสียงยามรัตติกาล
“นายหมายความว่าไง คงไม่อยากโดนต่อยใช่ไหม” เธอชูหมัดขึ้นใส่เจิง ยี่ชาน ทำเอาเขากลัวจนวิ่งหนีไปไกล
“นอกจากนี้ ถ้าไม่คิดถึงเรื่องตรงนี้ ฉันก็คงเหมือนคนขี้แพ้ใช่ไหม” หยาง เจียนหลิงกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งๆ
“นี่ อย่ามาดูถูกคนขี้แพ้เชียวนะ เพราะคนที่แพ้ก็หมายถึงว่ามีเวลาเอาคืนยังไงล่ะ” ทันใดนั้นเอง หลิน เฟิงก็ออกมากับเสี่ยว เฮ่ย
“หึ แม้ว่าคนขี้แพ้บางคนจะเอาคืนได้สำเร็จ แต่ก็คงไม่ใช่นายล่ะสิ เจ้าเด็กฝึกหัด” หยาง เจียนหลิงว่าขึ้น
“คนบางคนที่แพ้ก็สู้กลับได้สำเร็จ แล้วทำไมคนอย่างหลิน เฟิงจะเอาชนะไม่ได้ล่ะครับ” หลิน เฟิงเอ่ยถาม
“ฟังนะ ถ้าฉันบอกว่านายทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ต้องถามว่าทำไม” หยาง เจียนหลิงว่าขึ้น
จริงๆแล้วนั้น หยาง เจียนหลิงไม่ต้องการทะเลาะกับหลิน เฟิงต่างหาก ลักษณะภูมิหลังแบบไหนกันนะที่เป็นพื้นฐานสำหรับพวกขี้แพ้ที่สู้กลับได้สำเร็จ
คนที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด จุดเริ่มต้นของพวกเขานั้นย่อมสูงกว่าปลายทางของคนธรรมดาอยู่มาก
พวกมดนั้นอาจจะใหญ่กว่าเล็กน้อย และไม่ว่าช้างจะอ่อนแอแค่ไหน แม้แต่คนแคระที่อยู่ท่ามกลางช้างก็สามารถเหยียบมดได้ ส่วนราชามดกลับหมดประโยชน์
“เอ๋ แล้วผมจะพูดได้ไหมว่าผมนี่ล่ะจะสู้กลับได้สำเร็จ” หลิน เฟิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ตอนนี้ เขาดูไม่พูดเรื่อยเปื่อยหรือติดตลกอีกแล้ว แต่กลับมีท่าทีจริงจังและเด็ดเดี่ยวแทน
หยาง เจียนหลิงอยากจะหาเรื่องหลิน เฟิง แต่เมื่อเธอได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เธอก็ไม่กล้าพูดอะไร
“นายน่ะ ไม่ว่าจะต้องการอะไร นายก็ต้องก้าวมาให้ถึงความสูงเดียวกับฉัน ถึงจะประสบความสำเร็จได้” หยาง เจียนหลิงว่าขึ้น
“ความสูงของคุณ” หลิน เฟิงไม่เข้าใจ
“อย่างน้อยก็ต้องมายืนในจุดสูงสุดแบบเดียวกับฉัน” หยางไม่ได้อธิบายเรื่องความสูงส่งของเธอแก่หลิน เฟิงเพราะเธอไม่คิดว่าคนอย่างหลิน เฟิงจะมาอยู่ในจุดสูงสุดในชีวิตได้
แม้หลิน เฟิงจะเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ก็แค่นั้น เธอได้พบเจอกับคนฉลาดหลายคน อาจจะมากกว่า 100 ครั้งที่ฉลาดกว่าหลิน เฟิงเสียอีก
“ถ้างั้น ก็รอนะครับ อีกไม่นานแน่” หลิน เฟิงว่าอย่างมั่นใจ
“จะไม่มีใครมาขัดหรือมาพูดจาโอ้อวดอะไรทั้งนั้น ช่างมันเถอะ ตอนนี้ก็มืดลงเรื่อยๆแล้ว เร็วเข้า” หยาง เจียนหลินสะบัดหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
ในอีกฟากหนึ่ง ณ แอ่งเล็กๆในสภาพแวดล้อมที่มืดและพื้นเปียกๆ ชายสามคนรวมถึงเด็กสาวอีกคนต่างยืนชิดกัน
ใบหน้าของเด็กสาวเปื้อนไปด้วยน้ำตา มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ข้อเท้าหลายจุดรวมถึงหัวเข่า แล้วด้วยความที่เลือดไหลไม่หยุด เธอจึงใช้เข็มขัดรัดไว้
ชายสามคนรู้สึกอับอายไม่น้อย แต่นอกเหนือจากรอยข่วน พวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาต่างเหนื่อยล้า ก่อนจะนอนลงบนพื้น หายใจไปมา
รวมถึงสุนัขล่าเนื้อสามตัวที่กำลังหวาดกลัวอยู่รอบๆพวกเขา มันยากที่จะจินตนาการว่าคนพวกนี้ต่างไปเจออะไรมา พวกเขาถึงได้รู้สึกอับอายมากขนาดนี้
คนพวกนี้คือซู หยวนเฟิงและหยาง เจียนซื่อ คนที่หลินเฟิงกำลังตามหาอยู่นั่นเอง
“พวกมันไปแล้วล่ะ ซื่อเออร์ เธอโอเคไหม ซื่อเออร์” ซู หยวนเฟิงขยับเข้าไปหาหยาง เจียนซื่อ
“ฮือๆ พี่หยวนเฟิง หนูกลัว ที่นี่มืดมากเลย เท้าหนูก็ขยับไม่ไหวแล้ว” หยาง เจียนซื่อร้องไห้ลั่น
“ไม่มีอะไรน่า พี่หยวนเฟิงอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ” ซู หยวนเฟิงใช้มือเช็ดน้ำตาของหยาง เจียนซื่อ ก่อนจะว่าขึ้นอย่างเงียบๆ
ไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่นัก บนพื้นหญ้านั้น ตาคู่หนึ่งแสนดำทะมึนและเย็นยะเยือกต่างจ้องมาที่คนเหล่านี้
มีมากกว่าเป็นสิบคู่ พวกมันแต่ละตัวล้วนแข็งแกร่งและไร้เทียมทาน ในความมืดนั้น พวกมันมองซู หยวนเฟิงเป็นเหมือนความตาย
“ปู่คะ ทำไมเราถึงไม่ฆ่ามนุษย์พวกนี้ซะล่ะ สุนัขล่าเนื้อของพวกมันก็ฆ่าพี่น้องของเราไปตัวหนึ่งแล้ว และตัวอื่นๆก็ต้องมาบาดเจ็บ” และในความมืดนั้นเองก็บังเกิดเสียงเช่นนี้มาจากร่างสีดำตัวที่สอง
“ฆ่าพวกเขาไม่ได้” อีกตัวที่แข็งแกร่งกว่า สง่าและน้ำเสียงสูงวัยกว่าว่าขึ้น มันคือจ่าฝูงของกลุ่มสัตว์ตัวสีดำนั้นเอง
“ทำไมล่ะคะ แล้วเราจะปล่อยให้พวกนั้นฆ่าพี่น้องเรางั้นหรือ โดยที่เราไม่จัดการอะไรพวกนั้นเลยงั้นหรือ” เสียงนั้นพูดขึ้นอย่างโกรธจัด
“ฟังปู่ก่อน วันนี้ ปู่ได้พบกับจิตวิญญาณของสัตว์ป่าในตอนกลางวันด้วย” จ่าฝูงว่าขึ้น
“สัตว์ป่างั้นหรือ ก็พวกเรานี่อย่างไรล่ะ นี่คือเขตแดนของพวกเรา นี่ยังมีจิตวิญญาณสัตว์ป่าหน้าไหนกล้าที่จะเข้ามาเหยียบอยู่ใต้จมูกเราเมื่อรู้ว่าพวกเราอยู่แบบนี้กัน” ตัวนั้นว่าขึ้น
“จิตวิญญาณสัตว์ป่านั้นน่าจะเป็นสุนัขนรก แม้จะยังไม่เปลี่ยนเป็นร่างต่อสู้ แต่ปู่ก็เห็นมันได้”
“ปู่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านั่นถึงได้ไปอยู่กับมนุษย์ได้ หรือไม่งั้นมันน่าจะทำสัญญากับคนเอาไว้” จ่าฝูงไม่ตอบคำถามตัวที่สองแต่พูดกับตัวเอง
“ว่าไงนะ สุนัขนรกงั้นหรือ” ตัวที่สองถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสุนัขนรกทั้งสามแบบ พลางเผยความกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“มันก็แค่สุนัขนรกที่เพิ่งวิวัฒนาการเป็นจิตวิญญาณสัตว์ป่าขั้นต่ำเท่านั้น แต่เจ้าของของมันนั่นล่ะที่ปู่กลัว เขาเหมือนกับพ่อมดทั้งๆที่ไม่ใช่” จ่าฝูงว่าต่อ
“ปู่บอกเรื่องนี้กับทุกคนไม่ได้หรือ” ตัวที่สองแปลกใจ
“ใช่ เพราะมันแยกไม่ออก ลักษณะทางกายภาพของเจ้านั่น ความแข็งแกร่งไปถึงระดับ c หรือไม่ก็เกินกว่านั้น แต่ถึงอย่างงั้นปู่กลับไม่พบพลังในตัวมันเลย” จ่าฝูงว่า
“หรือนั่นจะเป็นพลังล่าสุด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตัวที่สองก็เผยความกลัวลึกๆออกมา
“ไม่ใช่ ปู่แน่ใจ” จ่าฝูงพูด
“โอเค แต่มันจะทำอะไรเราไหม แล้วมันจะทำอะไรคนพวกนี้ไหม เจ้าสุนัขล่าเนื้อของพวกมันเล่นงานพี่น้องเรา ทำไมเราถึงฆ่ามันไม่ได้ล่ะคะ ท่านปู่” ตัวที่สองว่าอย่างโกรธๆ
“เฮ้อ หลานสาวที่รัก ตอนนี้พวกเขาออกล่าอย่างเต็มที่แล้ว คนๆนั้นก็อาจจะเป็นหนึ่งในพวกเขา ถ้าเราฆ่าคนพวกนี้ที่นี่ พวกเราก็จะถูกเปิดเผย พวกเราอาจโดนฆ่ากันหมด” เสียงแหบชรานั่นดูเหนื่อยและสิ้นหวัง
“บ้าจริง ถ้าฉันแข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็ ฉันจะจัดการฆ่ามนุษย์พวกนั้นเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” ตัวที่สองโกรธจัดแต่ก็ควบคุมความรู้สึกตนไว้
“อนิจจา ขอบเขตกิจกรรมของมนุษย์นั้นค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่การพัฒนาภูเขาและผืนป่านั้นกลับแย่มากขึ้นเรื่อยๆ ที่อยู่อาศัยของพวกเราก็จะเล็กลงเรื่อยๆ บางที เราอาจจะต้องย้ายไปทางเหนือ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว” จ่าฝูงว่าขึ้น
“เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย มาดูที่นี่กันดีกว่า ถ้าปู่เดาถูก พวกคนนั้นคงจะออกตามหาคนพวกนี้อยู่ บางทีพ่อมดนั่นกับสุนัขนรกของเขาก็คงมาด้วย” หลังจากว่าจบ จ่าฝูงก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก เขาเพียงแค่มองคนของซู หยวนเฟิงอยู่อย่างเงียบๆ
อีกฟากหนึ่งนั้น หลิน เฟิงและคนอื่นๆก็มายังที่ที่ซู หยวนเฟิงและคนอื่นๆหายไปก่อนหน้านี้
“แน่ใจเลยล่ะครับ พอเรามาที่นี่ก็ไม่มีสัญญาณ โอเค แยกกันหาดีกว่า จัดไปทีมสามคน เราต้องแยกกันหา” เจิง ยี่ชานว่าขึ้น
“พวกคุณไปกัน ส่วนผมจะไปเอง...”
0 ความคิดเห็น