RC:บทที่ 38 หมูป่า

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 38 หมูป่า


 “เจ้านาย ท่านจะเอายังไง จะให้ข้าเปลี่ยนเป็นร่างต่อสู้และฆ่าพวกมันเลยดีไหม” สุนัขดำตัวใหญ่ว่าขึ้น


“ยังไม่ต้อง เจ้าพวกนั้นมันกระจอกเกินกว่าที่จะจัดการให้พ้นทางไปไวๆเอาเป็นว่าเล่นกับพวกมันไปเรื่อยๆก็แล้วกัน แล้วก็นี่ เราต้องไปหาเหยื่ออีกไม่ใช่หรือ งั้นเรามาสร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆให้พวกนั้นสักหน่อยดีกว่า” จากนั้นชายหนึ่งคนและสุนัขอีกหนึ่งตัวก็หายไปจากตรงนั้น


ชายที่อยู่บนหุบเขานั้นก็คือหลินเฟิงและเจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ชื่อ เสี่ยวเฮ่ย หมาจากนรก โดยหลังจากที่หลินเฟิงได้เข้ามาในป่าภูเขาแล้วนั้น เสี่ยวเฮ่ยก็จะกลับคืนเป็นร่างเดิม


แม้ว่ามันจะยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นรูปร่างที่ใช้ต่อสู้ แต่ตัวมันก็สูงมาก อาจจะใหญ่กว่าสิงโตกับเสือเล็กน้อย และนั่นใหญ่และแข็งแรงพอที่จะแบกรับน้ำหนักหลินเฟิงได้


หลินเฟิงขี่เสี่ยวเฮ่ยผ่านไประหว่างภูเขาและป่าซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเจา หลงถึงตามหลินเฟิงไม่ทัน


“พี่หลง ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ มาพักกันก่อนดีกว่า เป็นเวลานานแล้วนะเนี่ยที่ฉันไม่เห็นคนเลย บางที เขาอาจจะไม่ได้มาทางนี้เลยก็ได้” เจา จินหอบหายใจก่อนจะว่าขึ้นอย่างติดๆขัดๆ


 “พักก่อน พักก่อน นี่น้อง ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดแย่ๆของนายล่ะก็ สุนัขที่ปู่เอามาให้ฉันจะโดนกัดจนตายได้อย่างไร ดูแลตัวเองไปคนเดียวเลยไป”


ก็ดีแล้วที่ เจา จินไม่พูดออกไป เพราะถ้าเขาพูดก็จะไปกระตุ้นให้ เจา หลงโมโหอีก แล้วเขาก็ตำหนิเขาไปเสียมากมายจนเขาไม่กล้าตอบอะไรด้วยแล้ว


“มัวยืนงงอยู่ทำไมกันล่ะ ถ้าวันนี้เรายังหาไอ้หลิน เฟิงไม่เจอล่ะก็ เราจะไม่กลับ วันนี้ฉันจะยังไม่ฆ่ามันหรอกนะ ความเกลียดชังของฉันเอง บางครั้งมันก็เข้าใจยากจริงๆแหละ” เจา หลง คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆเพราะเขาสูญเสียทั้งภรรยาและก็ทหารซึ่งนั่นทำให้เขาแทบเป็นบ้า


 “นายน้อย เราอย่าออกนอกลู่เลยครับ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังต้องออกไปล่าอีก นั่นคือจุดประสงค์ในตอนนี้”


“และไอ้เจ้าบ้าหลินเฟิงนั่นก็ฉลาดเป็นกรด เราไม่รู้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน หาตัวยากจริงๆ” บอดี้การ์ดว่าขึ้น


“นายพูดอะไรของนาย ไม่ว่าจะยังไง เราก็ต้องหาตัวมันให้พบให้ได้ในวันนี้ ฉันจะยังไม่ฆ่ามันหรอก” เป็นเรื่องยากสำหรับ เจา หลง ที่ต้องกล้ำกลืนความคิดถึงสุนัขที่ตายไปแล้ว


เดิมที ความสัมพันธ์ของเขากับหลินเฟิงก็ไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เคยถึงขนาดนี้


ในตอนนี้ เขาต้องการฆ่าหลินเฟิงขึ้นมาจริงๆ


 “นายน้อยครับ เราควรออกล่าและค้นหาไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะหลังจากที่เจอกันแล้วนั้นเราก็ไม่รู้ว่าหลินเฟิงไปอยู่ที่ไหน เราเองก็ยังหาเขาไม่เจอ”


“ใช่ๆ คุณบอดี้การ์ดพูดถูก พี่หลง เราทั้งล่าทั้งหาในขณะเดียวกันก็ได้นี่ ถ้าเราพบเห็นคนอื่นๆ เราก็ถามพวกเขา นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เจอหลิน เฟิงก็ได้นะ”


“และเพื่อให้มั่นใจว่าการล่าของเราจะไม่เสียเปล่าด้วย” เมื่อเจา จินได้ฟังที่บอดี้การ์ดพูดกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เขาจึงเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว


“เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ฉันยังไม่เจอไอ้หลิน เฟิง แล้วฉันถามนาย แล้วอย่ามาว่ากันถ้าฉันจะฉีกขาและถลกหนังนายออกมา งั้นก็ไป”


หลังจากค้นหาอยู่นานหลายชั่วโมง เจา หลงก็ยังไม่พบร่องรอยของหลินเฟิงจนเขาอยากจะเลิกหา ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลำบากที่ต้องมาหาหลิน เฟิงในป่าภูเขาที่ใหญ่แบบนี้พอๆกับการหาเข็มในกองฟาง


ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เปลี่ยนแผน เป็นล่าและหา แล้วอีกอย่างก็คือถามผู้คนเพื่อดูว่ามีอะไรเกี่ยวกับหลินเฟิงบ้างหรือไม่


แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือว่าทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ในอุ้งมือของหลิน เฟิงเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยการปรากฏตัวของจิตวิญญาณสัตว์ป่าสุนัขนรก เสี่ยวเฮ่ย ตราบใดที่เส้นทางนั้นอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก เสี่ยวเฮ่ยก็จะรู้ได้ว่าเจา หลง กับคนอื่นๆนั้นอยู่ที่ไหน


แต่ในตอนนี้ หลิน เฟิงไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องพวกนี้เพราะเขากำลังหาเหยื่อ ดังนั้นเขาจึงต้องสั่งสอนบทเรียนให้ เจา หลงหลาบจำเสียบ้าง


 “เสี่ยวเฮ่ย แถวนี้มีสัตว์ใหญ่อยู่บ้างไหม หมี หมาป่าหรืออะไรทำนองนั้น รู้สึกบ้างไหม” หลินเฟิงถามขึ้น


“ครับ เจ้านาย”


ผมเห็น เสี่ยวเฮ่ยหลับตาลงก่อนที่จะมีคลื่นแปลกๆส่งออกมา คลื่นพวกนี้มีลักษณะประหลาด และหลินเฟิงก็สัมผัสถึงมันได้


เหมือนน้ำที่กระเพื่อมไปมา แผ่กระจายไปรอบทิศทาง


แล้วจากนั้นต่อมา เสี่ยวเฮ่ย ก็ลืมตาขึ้น


 “ว่าไง” ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเฮ่ยก็นิ่งไป เขาไม่รู้ว่ามันสัมผัสอะไรได้


“เกิดอะไรขึ้น นายเป็นไงบ้าง แล้วเจอบ้างไหม” หลิน เฟิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้


“เจ้านาย มี” คำตอบของ เสี่ยวเฮ่ย นั้นง่ายๆ แค่คำเดียวนั้น


“มีงั้นหรือ สัตว์แบบไหน”


หลิน เฟิงอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าสัตว์ป่าประเภทไหนที่อยู่ในป่าภูเขาแห่งนี้ ตอนที่เขายังเด็ก คนรุ่นก่อนมักจะขู่พวกเขาอยู่เสมอว่าในภูเขานั้นมีเสือกับหมาป่า ถ้าเป็นเด็กดื้อ จะโดนพวกมันกินเอา


แน่นอนว่า เมื่อโตขึ้นเขาก็ไม่เชื่อเรื่องนั้นอีก แต่คนรุ่นก่อนยังพูดอีกว่ามีเสือและสัตว์ป่าที่ถูกพบอยู่ในป่าภูเขา


“มีกลุ่มหมูป่าอยู่ในแอ่งทางตอนเหนือ มีเจ็ดหรือแปดตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเกิน 200 จิน” เจ้าหมาดำน้อยว่าขึ้น


“ว้าว งั้นก็ดีสิ เพียงพอแล้วสำหรับเจา หลง มีอะไรอย่างอื่นอีกไหม” หลิน เฟิงคิดว่าป่าภูเขาที่กว้างใหญ่เช่นนี้ไม่น่าจะมีแค่กลุ่มหมูป่าหรอก


 “ที่ทิศตะวันตกจากที่เราอยู่ มีหมาป่าอยู่ตรงนั้น ไกลออกไปแค่เล็กน้อย ปริมาณและหน่วยวัดไม่ชัดเจน เราทำได้แค่สัมผัสถึงมัน”


“หมาป่างั้นหรือ มีหมาป่าแล้ว แล้วอย่างอื่นล่ะ”


“มีพวกกระต่าย  ไก่ฟ้าและตัวอื่นๆ ไม่มีสัตว์ใหญ่ตัวไหนอีกแล้วที่อยู่ใกล้ๆนี้ แต่ว่ามันมีสิ่งแปลกๆสิ่งหนึ่งที่แวบเข้ามาแล้วหายไปในหัวเลย” เสี่ยวเฮ่ยตอบกลับไป


“บางอย่างที่แวบเข้ามาแล้วหายไป ช่างเถอะ ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าอย่างการจัดการเจา หลงที่เราต้องทำนะ” หลิน เฟิงว่าขึ้น 


พวกเขาเข้าไปในป่าภูเขาจากตะวันออก และยิ่งเข้าไปทางทิศตะวันตกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งลึกมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางที่เดินไปนั้นเหมือนเป็นวงกลม


ป่าภูเขาแห่งนี้มีพื้นที่ออกไปมากถึงสิบไมล์ มีไม่กี่คนที่เข้าไป และยิ่งเดินไปทางทิศตะวันตกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะมีสัตว์ป่ามากขึ้นเท่านั้น


“อืม งั้นเดี๋ยวเราจะไปนำหมูป่ามาที่นี่ เจา หลงกับคนพวกนั้นคงจะอยู่อีกไม่ไกล และปล่อยให้พวกมันทรมานไป”


หลิน เฟิงจ้องเจา หลงและทิศทางที่คนอื่นๆไปพลางยิ้มแสยะ


“พี่หลง ลักษณะของป่าแตกที่นี่เป็นยังไงงั้นหรือ นี่เรายังไม่เจอสัตว์ใหญ่เลยนะตั้งแต่เดินมา เหมือนเรากำลังล่าอากาศอยู่เลย” เจา จินพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน


ในตอนนี้ มีเพียงกระต่ายป่าตัวหนึ่งห้อยอยู่ที่มือ คอและแม้แต่เอวของเขาทั้งสิ้นสี่ตัว นี่คือสิ่งที่พวกเขาล่าไม่ได้ในเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง แล้วจากนั้นพวกเขาก็ไม่พบสัตว์ที่ใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากกระต่าย 


เจา หลงกับบอดี้การ์ดคนพี่ไม่ได้เป็นคนจับกระต่าย พวกเขาทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ เจา จินไปจับมันมาเพียงคนเดียว ตลอดระยะทางที่เดินมา พวกเขาต่างก็อ่อนแรง แต่ใครกันล่ะที่เป็นคนฆ่าสุนัขของเจา หลง


“มานี่ หยุดตะโกนได้แล้ว พักกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะแจ้งคนทางนั้นมารับเหยื่อเลย”


จากนั้น เจา หลงก็หยิบตัวสัญญาณขึ้นมา กดปุ่มสีดำ นั่งรอทีมสนับสนุนมาอยู่เงียบๆ 


 “อ๊ดๆอู๊ดๆ” ทันใดนั้นเอง เสียงอันแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


“เอ๊ะ เสียงอะไรน่ะ” เจา จินเป็นคนแรกที่ตั้งข้อสังเกต


“เสียงเหมือนลูกหมู แถวนี้มีหมูป่างั้นหรือ” บอดี้การ์ดคนพี่ชายพูดขึ้นอย่างสงสัย


“นี่ เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ” เมื่อ เจา จินได้ยินแบบนี้ เขาก็ลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง


สวบ สวบ


ฮึ่ม ฮึ่ม


“ฟังสิ เหมือนเสียงของหมูป่าจริงๆนะ เตรียมตัวให้พร้อมเร็วเข้า จับมาได้สักสองตัวน่าจะดีเลยล่ะ ถึงจะมีค่าไม่มากนักก็เถอะ”


“โครม”


ฉับพลันนั้นเอง หมูป่าตัวเล็กก็ลอยออกมาจากต้นไม้ก่อนจะตกลงมาต่อหน้าพวกเขาพลางกรีดร้อง


“นี่น่ะหรือหมูป่า”


     

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น