RC:บทที่ 31 พนันสิว่าพี่จะชนะ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 31 พนันสิว่าพี่จะชนะ


 “เอาล่ะ นายวอนหาเรื่องเอง แล้วจะมาหาว่าฉันโหดไม่ได้นะ” ปากของหลิน เฟิงเปลี่ยนเป็นโค้งเล็กน้อยก่อนที่ดวงตาจะฉายแสงอันเยือกเย็นวาบขึ้นมา


“เสี่ยวเฮ่ย ช่วยฆ่าหมาของเจ้านี่ด้วยได้ไหม ฆ่ามันซะ อย่าให้โอกาสพวกมันมานึกเสียใจทีหลัง”


หลิน เฟิง พูดกับ เสี่ยว เฮ่ย ในใจ


“ของกล้วยๆ ขอแค่สิบนาที เจ้านาย”


“ดีมาก เพราะถ้าฉันจะสู้ล่ะก็ สำหรับเจ้านั่นแล้ว คงต้องเล่นใหญ่สักหน่อย เฮ้ๆ” หลิน เฟิงมองเจา จินด้วยสีหน้าประชดประชันเป็นนัยๆ


“พวกคุณว่าความคิดนี้เป็นยังไง” 


เจา จินว่าขึ้นพลางมองผู้คนที่ล้อมรอบราวกับขอความเห็น บางครั้งเขาก็เหลือบมองไปที่หลิน เฟิง ผู้ซึ่งเห็นสิ่งซ่อนเร้นในตาผู้คนได้อย่างชัดเจน


“ก็ดี ฉันก็ว่านี่เป็นความคิดที่ดีนะ การต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ดูแล้วเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ตื่นเต้นเอาเสียเลย”


“ก็นั่นน่ะสิ หมาของฮวง หยูก็อ่อนมากเสียจนเขาหนีไปโดยไม่ทำอะไรเลย นี่แหละเขาล่ะ” 


“ใช่แล้ว หมาป่าดำตัวใหญ่ในหมู่บ้านลั่วหยางเองตอนนี้ก็ดูแข็งแกร่งเอาการ ก็น่าสงสารนะที่โชว์ที่ออกมาดูยอดแย่จังเลย”


เจา จินกล่าวขึ้น ท่ามกลางคนที่มาเข้ามาร่วมว่าเกือบจะดีตามที่คุยกันไว้แล้วเชียว


ถ้าหลิน เฟิงไม่ออกมาสู้ เขาก็จะถูกคนอื่นๆหัวเราะเยาะและถูกกลั่นแกล้ง


“แล้วก็นี่ หมาป่าดำที่ใช้ในการต่อสู้ก่อนพวกเราจะมานี่เป็นของใคร แล้วการต่อสู้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”


เมื่อได้เห็น หลิน เฟิง เจา จินจึงพูดต่อว่า


“เป็นของเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านลั่วหยาง ดูเหมือนจะชื่อ หลิน เฟิงล่ะมั้ง อ้อ ใช่” 


“ใช่ๆ นี่ล่ะ หมาป่าตัวใหญ่สีดำของหลิน เฟิง แข็งแรงมาก บางทีอาจจะเอามาสู้กับตัวนี้ได้” 


“...” 


คนจากหมู่บ้านอื่นๆต่างคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดทำอะไรพวกเขาได้ ก่อนจะเริ่มทะเลาะกัน


ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็จะไม่กัดหมาของตัวเองและจะไม่ดูการเล่นอิสระอย่างไม่ได้อะไร


“เฮ้ย แล้วนายล่ะมีอะไร ดีแล้วที่ไม่โดนกัด ชื่อเสียงของสุนัขในสองปีแรกไม่ได้น้อยกว่าสามตัวนั่นในตอนนี้เลย” ทหารผ่านศึกวัยกลางคนเอ่ยกระซิบ  


มีเพียงทหารผ่านศึกพวกนี้ที่เข้าใจว่าสุนัขในการดูแลของ เจา จินนั้นเลวร้ายแค่ไหน และครั้งหนึ่งก็เคยปรากฏว่าเป็นถึงตระกูลของระดับราชาสุนัขด้วย


แม้ว่าเขาจะเป็นชายชราร่างเล็กและหัวโบราณ แต่อูฐที่ตายเพราะร่างกายผ่ายผอมนั้นกลับตัวใหญ่กว่าม้าเสียอีก และแม้ว่าเสือจะตาย แต่พลังของมันก็ยังอยู่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สุนัขธรรมดาจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน


ดังนั้น จึงมีอยู่ไม่กี่คนที่มองสุนัขของหลิน เฟิงในทางที่ดี พวกเขาคิดว่าถ้าปล่อยมันไปจริงๆ เสี่ยว เฮ่ยของหลิน เฟิง คงไม่ใช่คู่แข่งที่เหมาะสมอย่างแน่นอน


“เสี่ยว เฟิง อย่าปล่อยให้เขาออกไปสู้ แม้ว่ามันจะเป็นสุนัขอายุห้าหรือหกปี แต่ก็ดุร้ายและประสบการณ์โชกโชน สุนัขธรรมดาไม่อาจเอาชนะเขาได้” ชายวัยกลางคนในหมู่บ้านลั่วหยางชี้แนะ


 “ใช่แล้วล่ะ พี่เฟิง เจ้าดำน้อยอายุยังไม่ถึงขวบหนึ่งด้วยซ้ำ ไหนจะประสบการณ์การต่อสู้หรือความอึด ความแข็งแกร่งด้วยแล้ว ไม่ควรจะเป็นคู่แข่งของเจ้าหมานั่นเลยสักนิด”


หวัง ซื่อชอบสุนัขของหลินเฟิงเอามากๆ เขาเองก็ไม่อยากให้เจ้าสุนัขสีดำตัวน้อย หลิน เฟิง ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนพวกนั้น


“พี่เฟิง พวกเขาพูดถูกที่ไม่ขอรับคำท้าในครั้งนี้ แม้แต่จ่าฝูงหมาป่าสีแดงของฉันเอง ไม่กี่นาทีก็ล้มไปอยู่ใต้เจ้าหมาตัวนั้นแล้ว” หวัง หานว่าขึ้นบ้าง


หลังจากนี้ จะเป็นการต่อสู้ของสุนัขแบบมืออาชีพ ตระกูลราชาสุนัข ถ้าเสี่ยว เฮ่ยของหลิน เฟิงสู้กับมัน เขาก็ไม่ต้องคิดถึงตอนจบ


ถ้าเอาแบบเบาะๆ ก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าเอาหนักๆ อาจโดนฆ่าตายอยู่ตรงนั้นก็เป็นได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีเป็นการส่วนตัวของหลิน เฟิงหรือแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านลั่วหยาง ดังนั้น หลิน เฟิงจึงรู้สึกท้อจากการตอบรับคำท้านี้  


หลินเฟิงไม่ได้ตอบในทันที เขายืนขึ้นก่อนจะมองไปที่เจาจินและเจา หลง นี่ล่ะผีของเจา หลง เขารู้จักมันดี


“สู้ใช่ไหม ก็ได้”


เมื่อ หลิน เฟิง ยืนขึ้น ทุกคนต่างก็คิดว่าเขากำลังจะปฏิเสธ แล้วทันใดนั้นเอง คำพูดจากปากเขาก็ทำให้ทุกคนอึ้งไปเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะยอม


“แต่...” ขณะที่ผู้คนต่างอึ้งไปกับการตัดสินใจของเขา หลิน เฟิงก็ชิงพูดก่อน


“แต่ แต่อะไร” เจา จินยังคงตะลึงก่อนที่ต่อมาจะยิ้มอย่างสบายใจ


ตราบใดที่หลิน เฟิง ยินยอม สิ่งอื่นก็ไม่เป็นปัญหากับเขาอีกแล้ว เมื่อหลิน เฟิงรับคำท้า เขาก็สามารถปล่อยให้สุนัขของเขาฆ่าเสี่ยว เฮ่ยเพื่อทำให้ภารกิจที่รับมาจากเจา หลง เสร็จสมบูรณ์และเขาก็จะได้รางวัลจากเจา หลง อย่างงาม


“แต่ฉันมีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าสุนัขทุกตัวจะควรค่ากับคำท้าหรอกนะ สำหรับฉัน ถ้าให้สู้กับพวกเขาก็โอเค แล้วเดี๋ยวฉันว่าเราน่าจะเสี่ยงโชคกันดูซะหน่อย ไม่งั้นล่ะ น่าเบื่อแย่” หลิน เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“หา ทำหัวหลายๆสีงั้นเหรอ ได้สิ แต่ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอก มันต้องน่าสนใจกว่านี้สิ” ทันทีที่ ซู หยวนเฟิง ได้ฟัง เขาก็ยกมือเรียกร้อง


“โอเค ฉันไม่กล้าทำอะไรแล้วล่ะ แต่การเสี่ยงโชคก็ดีนะ” เจิง ยี่ชานก็เห็นด้วย


คนจำนวนน้อยไม่ใช่คนที่ไม่มีเงิน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโยนเงินออกไปมั่วๆแบบนั้น นอกจากนี้ พวกนั้นเป็นคนที่ชอบเรื่องเล่นแบบนี้เสียด้วย


“นี่...” เจา จินลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะหันมาเจา หลง


“ก็ได้ ไปเล่นกับเขาสิ แล้วจะได้เห็นว่าเขาจะสร้างเรื่องอะไร” เจา หลงพยักหน้าก่อนจะพูดเสียงนิ่ม


“เอางี้ ถ้านายอยากจะชนะ ฉันจะให้นายเลยหมื่นหนึ่งถ้าชนะกลับมา...” แต่ก่อนที่เจา จินจะพูดจบหลิน เฟิงก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน


“หมื่นหนึ่ง ส่งขอทานไปเถอะ อย่างน้อยนายก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจา หลงนะ พูดอะไรของนายน่ะ” หลิน เฟิงหัวเราะ


“ฉันขอไม่พูดอะไรมาก แต่ฉันจะไม่เอาเปรียบนายหรอก ฟังนะ ในบัตรฉันมีอยู่ห้าหมื่น ถ้านายชนะ ห้าหมื่นนี้ก็จะเป็นของนาย” หลิน เฟิง กล่าวขึ้นก่อนจะโยนบัตรลงพื้น


“ถ้านายไม่กล้าพนันด้วยห้าหมื่นหยวน ก็หุบปากและจะไปไหนก็ไปๆ” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นอย่างดูถูก


 “นี่...” ในตอนนี้ เจา จินรู้สึกลังเลอีกครั้ง ดังนั้น เขาจึงหันไปหา เจา หลงเพื่อขอความช่วยเหลืออีก ซึ่งเห็นได้จากในแววตาคู่นั้น


“เออ เจา หลง ความกล้าได้กล้าเสียของญาติห่างๆของคุณนี่ถือว่าสอบตกนะ แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นคุณคงไม่ได้มาตรงมานี้หรอก ไม่ฉลาดแถมสร้างปัญหาให้คอยตามเก็บตามเช็ด” หลิน เฟิงกล่าวพลางยิ้มๆ


ทันทีที่ หลิน เฟิง พูดจบ บางคนในที่นั้นก็ได้กลิ่นที่ต่างออกไป ดูคล้ายจะเป็นกลิ่นควันปืน


 “ไร้ประโยชน์ ถามฉันไปซะทุกเรื่องเลย” เจา หลงแอบบ่น แต่เขาก็ยังแสร้งว่าไม่ได้ทำอะไรก่อนจะเอ่ยกับหลิน เฟิง “นี่คือธุรกิจของนายเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่าคิดว่าฉันเล็งนายอยู่ล่ะ นายไม่คู่ควรด้วยซ้ำ”


ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา การโต้แย้งระหว่างเจา หลงและหลิน เฟิง ก็ดูจะเปิดเผยมากขึ้น ต่างคนต่างไม่กลัวใคร


 “อ๋อ ฉันเข้าใจความรู้สึกนั่นผิดไปสินะ ขอโทษก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบหลิน เฟิง ก็ไม่ได้พูดกับเจา หลง อีก แต่พุ่งเป้าไปที่เจา จิน


“เจา จิน นายจะต่อสู้ด้วยหรือเปล่า อย่าให้เสียเวลาเลย” หลิน เฟิงกล่าวออกไปตามตรง


“เออ ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น มานี่” เมื่อ เจา จินเห็นว่า เจา หลง ไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรกับเขาไปมากกว่านี้ เขาจึงรู้ว่า เจา หลงจะต้องโกรธจึงรีบหยิบบัตรออกมาอย่างรีบร้อน จากนั้นก็เขวี้ยงลงบนพื้น


 “นี่ไง ได้แล้ว มานี่” เมื่อเจา จินให้คำสัญญา หลิน เฟิงจึงกล่าวกับ หวัง หานที่ยืนอยู่ข้างๆเขาว่า


“ว่าไง พี่เฟิง”


“ก่อนที่นายจะเริ่ม ให้ไปเปิดบ่อนพนันก่อนเลย โอเคไหม ไปเป็นคนกลาง ให้พนันว่าฉันชนะให้ได้ เพราะถ้าฉันชนะ ฉันจะเอาไปแค่ครึ่งเดียว แต่ถ้าแพ้ ฉันจะจ่ายเอง” หลิน เฟิง ว่าขึ้นอย่างมีลับลมคมใน


“พี่ชนะงั้นหรือ” 


     

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น