RC:บทที่ 349 ครอบครองพลัง
ที่จริงมันก็ไม่แปลกที่หลินเฟิงกับหญิงสาวจะไม่เข้าใจ เพราะสิบตระกูลที่ดำรงอยู่ในสมัยบรรพกาล และหนึ่งในนั้นก็ยังดำรงมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความเข้าใจในยุคสมัยของประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี
"มันก็แค่ ทั้งหมดก็แค่อดีต แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำจริงๆ!" ชายที่ถูกแสงสีทองห่อหุ้มผู้เป็นจักรพรรดิ์อู๋ชางกล่าวเงียบๆ
"ไม่ทราบว่าทำไมท่านบรรพบุรุษถึงเรียกพวกเรามาที่นี่..." หลงจี้เทียนเพิ่งจะเอ่ยคำถามออกมา แต่ก่อนที่จะพูดจบเขาก็ถูกเสียงกรีดร้องขัดจังหวะ
"อ้า! อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉันเลย... " ที่ใต้เท้าของหลินเฟิง โครงกระดูกนับไม่ถ้วนกำลังฉีกทึ้งอยู่ด้านล่าง มันเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและโหยหวน
"แล้ว นี่มันอะไรกัน?" เมื่อหลินเฟิงได้เห็นคนถูกโครงกระดูกขาวฉีกทึ้ง เขาก็ตกตะลึง
"นั่นคือเหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งสี่มา! ในสมัยบรรพกาล เหล่าปีศาจสร้างความยุ่งเหยิงขึ้นที่นี่ หนึ่งในจอมปีศาจเลยถูกข้าผนึกอยู่ที่นี่ แต่ในเวลานั้นข้าหมดพลังเลยไม่ได้สังหารมัน! "
"ข้าอยากจะล้างบางมันไปให้นานแสนนาน แต่แล้วข้าก็ประเมินสิ่งมีชีวิตนี้ต่ำไป เวลาผ่านไป มันไม่เพียงไม่ถูกล้างบาง แต่กลับค่อยๆฟื้นตัวขึ้นทีละนิด! ข้าเลยทิ้งมือไว้หนึ่งข้างเพื่อเตรียมผนึกด้วยพลังที่ยังคงมีอยู่ในดาบจักรพรรดิ์ ในกรณีที่เขาไม่ได้ถูกทำลายไป! "
"หลายพันปีดูเหมือนจะนาน แต่ความจริงก็เพียงชั่วครู่ราวกับปิดตาแล้วเปิดขึ้นอีกครั้งก็ผ่านไปหลายพันปีแล้ว! ตอนนี้ แค่พลังที่เหลืออยู่คงไม่เพียงพอที่จะผนึกมันอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงเรียกพวกเจ้ามาที่นี่! " โม่อู๋ชางกล่าว
"ท่านบอกมาได้เลยว่าพวกเราต้องทำอย่างไรบ้าง!" หลงจี้เทียนดูเหมือนจะยกย่องโม่อู๋ชางเป็นอย่างมาก เขารีบกุมกำปั้นและกล่าว
ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าตระกูลหลงนั้นได้สืบช่วงมาจากยุคของโม่อู๋ชาง พวกเขานับถือโม่อู๋ชางจนอาจกล่าวได้ว่าแทบจะคลั่งไคล้เลยทีเดียว
"หลายสิบล้านปีผ่านไป ข้าก็ยังคงมีสี่นักรบคนโปรดที่ได้สร้างปรากฏการณ์ไว้ และพลังอันแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังคงอยู่ ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งสี่รับพลังของพวกเขาไป ผนึกหรือแม้กระทั่งกำจัดปีศาจชั่วร้ายเหล่านี้อีกครั้ง!" โม่อู๋ชางมองไปที่คนทั้งสี่และกล่าว
"โปรดบอกข้ามา!" หลงจี้เทียนสวรรค์เอ่ย
"โปรดบอกข้า!" ชายอีกคนที่มาจากกลุ่มมืดกล่าว
เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้ หลินเฟิงและหญิงสาวที่สวมหน้ากากก็ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้แต่ยกมือขึ้นคำนับและรอรับคำสั่ง
"ดี!" อู๋ชางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเอ่ยกับสัตว์วิญญาณทั้งสี่ที่อยู่ด้านข้างเขา "ส่งพลังให้พวกเขา!"
"ขอรับ!" เมื่อเสียงพูดของเขาจบลง ร่างทั้งสี่ก็เปิดปากและตอบรับอย่างทันทีทันใด ครู่ถัดมา ร่างทั้งสี่ก็บินไปหาทั้งสี่คน เห็นได้แค่เพียงร่างเดิมที่มีขนาดใหญ่โตของสัตว์เหล่านี้ได้หดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแสงที่บินเข้าไปในวัตถุที่อยู่ในมือของคนทั้งสี่
วัตถุทั้งสี่เปล่งแสงออกมาสว่างไสว แสงเขียวเป็นของวัตถุรูปมังกรสีเขียว, แสงสีขาวเป็นของวัตถุรูปพยัคฆ์ขาว, แสงสีดำเป็นของวัตถุรูปเต่าทมิฬ และแสงสีแดงเป็นของวัตถุรูปหงส์เพลิง
แสงสุกสกาวทั้งสี่สว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า และสว่างยิ่งกว่าแสงของลำแสงที่สูงตระหง่าน
ทั้งสี่ต่างก็รับรู้ถึงพลังอันมหาศาลที่พุ่งออกมาจากวัตถุแล้วพุ่งเข้ามาในร่างกายของพวกเขา และเมื่อหลินเฟิงกำลังจะรับพลังนี้ เขาก็ถูกโม่อู๋ชางขัดจังหวะ โม่อู๋ชางมองไปที่หลินเฟิง จากนั้นก็มองหลงจี้เทียน แล้วจึงหยุดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็เอ่ย "พวกเธอทั้งสองเปลี่ยนตรากันจะเหมาะสมกว่า!"
หลินเฟิงและหลงจี้เทียนประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไม
แต่หลงจี้เทียนที่ได้รับฟังคำของอู๋ชางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขาโยนผนึกมังกรเขียวไปให้หลินเฟิงที่โยนตราพยัคฆ์ขาวไปให้เขาแล้ว
หลงจี้เทียนรับผนึกพยัคฆ์ขาวไปแล้วเริ่มนั่งขัดสมาธิ มองไปยังผนึกพยัคฆ์ขาวแล้วเริ่มยอมรับพลังอันร้ายกาจที่หลั่งไหลราวกับมหาสมุทร
ชายหนุ่มแห่งองค์กรมืดชำเลืองมองแต่ไม่ได้พูดอะไร เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับพลังของเต่าทมิฬ
ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเขาไม่ได้กล่าวอะไร เธอนั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับพลังของหงส์ไฟ
หลินเฟิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ขณะที่เขากำลังจะนั่งขัดสมาธิดูดซับพลังหินมังกรเขียวก็เห็นโม่อู๋ชางโบกมือมาให้เขา
"เอ่อ..." หลินเฟิงไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
"มานี่สิ!" โม่อู๋ชางกล่าว
หลินเฟิงเข้าไปหา เวลานี้พวกเขาอยู่กลางท้องฟ้าแต่ดูเหมือนกำลังก้าวอยู่บนพื้นดินที่มั่นคง
แต่เมื่อก้าวไปเพียงสองก้าว หลินเฟิงก็พบว่าเขาเดินมาถึงชายวัยกลางคนที่ถูกแสงสีทองห่อหุ้มแล้ว
เมื่อกี้เห็นได้จากที่ไกลแต่ในตอนนี้กลับอยู่ใกล้มากๆ ด้วยการก้าวไปหาโม่อู๋ชางเพียงแค่สองก้าวจริงๆ
"นั่งลงสิ!" โม่อู๋ชางกล่าว
จากคำพูดของโม่อู๋ชาง หลินเฟิงจึงนั่งลงโดยเว้นระยะห่างจากเขาสองเมตร ขณะที่เขานั่งลงแสงสีทองบนใบหน้าของโม่อู๋ชางก็ค่อยๆจางหายไป และวินาทีถัดมาก็เปิดเผยใบหน้าที่เยาว์วัยเป็นอย่างมาก
ใบหน้าเต่งตึงราวกับมีดปอกและตาคมราวกับดาบ แสงในดวงตาอ่อนจางและเต็มไปด้วยความลึกลับและให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
หลินเฟิงไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงคนตรงหน้าเขาว่าเป็นอย่างไร แต่รู้ดีว่าเขาจะต้องผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมาย
"ไม่ต้องดูดพลังของมังกรเขียว ปล่อยเพื่อนของเจ้าออกมา!" โม่อู๋ชางเอ่ย
คำพูดนี้ไม่ได้เอ่ยชัดจึงทำให้หลินเฟิงไม่เข้าใจอยู่สักพัก เขาเห็นโม่อู๋ชางยิ้มออกมา: "เพื่อนมังกรดำของเจ้า!"
หลินเฟิงประหลาดใจที่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าที่นี่เขาไม่เคยปล่อยมังกรดำออกมาเลย ชายคนนี้รู้ว่าเขามีมังกรดำได้อย่างไรกัน
เดิมที หลินเฟิงแทบจะไม่ปล่อยมังกรดำออกมาในที่ลึกลับแห่งนี้เลย เขาคิดว่าจะใช้ยามคับขันหรือปล่อยเมื่อจำเป็นเท่านั้น
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ขณะที่หลินเฟิงลังเล เสียงของโม่อู๋ชางก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขากล่าวว่า: "ตบะของเจ้าต่ำเกินไป แม้เจ้าจะดูดซับมัน เจ้าก็ไม่สามารถใช้พลังของมังกรเขียวได้ แต่เพื่อนของเจ้ากลับสามารถใช้พลังของมังกรเขียวจนถึงขีดสุดหรือเกินกว่านั้นได้!"
พอหลินเฟิงได้ยินคำกล่าวของเขาแล้ว จึงได้ปลดปล่อยมังกรดำออกมาจากคิ้ว
โฮก!!! โฮกก!!!!
ขณะที่คิ้วของหลินเฟิงสว่างวาบ เสียงของมังกรทั้งสองก็ดังขึ้น มังกรดำออกมาคิ้วข้างหนึ่งของหลินเฟิง และอีกข้างก็มีตรามังกรเขียวออกมา
โฮก!!!
ขณะที่มังกรดำปรากฏตัว มังกรขนาดใหญ่อีกตัวก็ส่งเสียงร้อง ครู่ถัดมาเกล็ดใต้คอของมังกรดำก็เปล่งแสงสีดำและทั่วทั้งร่างของมังกรดำก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นอย่างมาก
ร่างกายของมันเปลี่ยนมาเป็นทั้งหนาและยาว อีกทั้งยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขามังกรคู่บนหัวของมันแยกออกอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กลายเป็นแปดเขา กรงเล็บของมันทั้งหนาและแหลมคมมากขึ้น
0 ความคิดเห็น