RC:บทที่ 309 หาหนทาง
หลังจากที่หลิน เฟิงเข้ามาในบริษัทได้ซักพัก เขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไร ดังนั้น เขาจึงกลับบ้าน
หลังจากกลับมาถึงหมู่บ้านลั่วหยางแล้วนั้น หลิน เฟิงก็เข้ามาในบ้านพลางครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อไปในภายภาคหน้า เพราะที่เก็บขยะและบ่อบำบัดขยะนั้นได้รับการสร้างขึ้นในทุกที่ และเขาต้องเข้าไปจัดการกับขยะพวกนั้นอีกด้วย
ด้วยความที่แหล่งทรัพยากรขยะนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงทำคนเดียวไม่ได้ เลยต้องใช้รถเข็นลากพวกขยะออกมา
แต่ทว่าไม่มีหนทางที่จะไปต่อแล้ว ในวันนี้ หลิน เฟิงรู้สึกกังวลใจเพราะที่เก็บขยะและบ่อบำบัดขยะนั้นได้รับการสร้างไปทั่วแล้วในจังหวัด G และมีรายงานจากทุกๆที่ว่าขยะเต็มแล้ว
ใช้เวลาสักพัก หลิน เฟิงก็ยังคิดหาวิธีดีๆไม่ออก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงให้รถบรรทุกนำขยะพวกนั้นออกไป
แต่หนทางที่จะไปนั้นก็ยาวไป อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็สูงมาก แม้ว่าผลกำไรจากขยะพวกนี้จะสูงกว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าว แต่ก็อยู่แค่ในจังหวัด G เท่านั้น ถ้าหลิน เฟิงต้องการทรัพยากรขยะอย่างเพียงพอล่ะก็ อย่างน้อย เขาก็ต้องสร้างที่เก็บขยะขึ้นมาในจังหวัดหลายจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่ทั้งประเทศ
แต่วิธีเก็บขยะนั้นกลับเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการใช้รถบรรทุกไปขนแหล่งขยะจากข้างนอกจังหวัดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า และการสูญเสียนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ได้เงินด้วย
ปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจหลิน เฟิงมาหลายวันแล้ว แต่ทว่าตัวเขาก็ยังคิดแผนดีๆไม่ออกเลย
จนกระทั่ง จู่ๆ หลิน เฟิงก็ได้รับข้อความจากซู หว่านเอ๋อร์
ทันใดนั้นเอง หลิน เฟิงก็แทบจะทิ้งเรื่องขยะออกไปจากหัวก่อนจะรีบเข้าไปในอำเภอจิ้งเฟิง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลิน เฟิงจึงมาถึงสถานที่ที่เขาและซู หว่านเอ๋อร์เคยเจอกัน ในตอนนี้ เธอกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านกาแฟอย่างเงียบๆ และถึงจะเงียบแต่ก็ยังสวย
หลิน เฟิงยืนอยู่ตรงทางเข้าของร้านกาแฟก่อนจะจ้องไปที่ร่างของซู หว่านเอ๋อร์ผ่านกระจกใส เขาล่ะหวังอยากจะให้วินาทีนี้คงอยู่แบบนี้ไปตราบนานเท่านาน
แต่นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่นาน ซู หว่านเอ๋อร์ก็รู้ในที่สุดว่าเขามาถึง เธอจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณมาถึงแล้วสินะ เข้ามาสิ”
ซู หว่านเอ๋อร์กล่าวออกมาแบบนั้น แต่มันดูจะเหมือนว่าดังออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจของหลิน เฟิงมากกว่า เป็นเสียงที่ปลุกหลิน เฟิงให้ตื่นขึ้น
หลิน เฟิงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพียงแค่เดินอย่างช้าๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งกาแฟ ต่อมาจึงเดินไปหาซู หว่านเอ๋อร์และนั่งลง
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรกับใคร เพราะพวกเขาเองก็ต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกัน
“คุณ คือคุณเรียกผมมานี่ มีอะไรให้ผมช่วยงั้นหรือ” ในที่สุด หลิน เฟิงก็ทนกับความเงียบอันแสนไม่เคยคุ้นนี้ไม่ไหว จึงได้เริ่มถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยากเอาของมาคืนคุณน่ะ” หลิน หว่านเอ๋อร์ว่าขึ้น
จากนั้นเธอจึงถอดแหวนที่นิ้วออกมา ดูแล้วก็เป็นแหวนธรรมดาๆ แต่หลิน เฟิงจำได้อย่างแม่นยำถึงที่มาของแหวนวงนี้
มันคือของที่ระลึกที่แสดงความรักที่หลิน เฟิงมอบให้กับซู หว่านเอ๋อร์ไปก่อนหน้านี้ เขาให้เธอเพื่อแสดงถึงความรักที่มี จนเมื่อเห็นว่าซู หว่านเอ๋อร์นำแหวนที่ว่ามาคืน เขาจึงรู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
หลิน เฟิงเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้ เขารู้ว่านี่เป็นความผิดของเขา จะตำหนิหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้ เขาเพียงแต่ส่ายหัวก่อนจะหยิบแหวนมา
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิน เฟิงจับแหวนนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าซู หว่านเอ๋อร์นั้นกำลังกำแหวนไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นปริ่มเหมือนน้ำตาจะไหล
น้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างไหลลงอาบแก้ม เมื่อหลิน เฟิงเห็นเข้าก็รู้สึกปวดใจ ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยไปนั้น จู่ๆ ซู หว่านเอ๋อร์ก็เป็นคนแรกที่ปล่อย
จากนั้น เธอจึงเช็ดน้ำตาบนแก้มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าทีเย็นชาซึ่งนั่นทำให้หลิน เฟิงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งเลยทีเดียว
เขาถือแหวนวงดังกล่าวไว้ในมือด้วยท่าทางระมัดระวัง มันดูเรียบและหม่นหมอง จิตวิญญาณของหลิน เฟิงหลอมได้หลอมรวมเข้าไปในแหวน ก่อนที่มันจะส่งแสงสีแดงเรื่อออกมา แต่ทว่าในร้านกาแฟที่มีแสงจ้าแบบนี้ แสงดังกล่าวจึงไม่ได้สะดุดตานัก
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และหลิน เฟิงก็รู้สึกเหมือนว่าตนกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปอีก ใจของเขามันโหวงไปหมด
“ฉันไปล่ะ” จากนั้น ซู หว่านเอ๋อร์ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ไปไหน” หลิน เฟิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้จริงๆ
“ไปยังสถานที่แสนไกล ที่ที่ฉันจะไม่กลับมา” ซู หว่านเอ๋อร์ตอบ
เมื่อได้ฟังในสิ่งที่เธอพูด พลันหลิน เฟิงก็รู้สึกว่าทั้งโลกนั้นมืดมนลงจนเปลี่ยนเป็นสีเทา จนไร้ซึ่งสีสันใดๆเจือปน
“แล้วคุณจะไปเมื่อไหร่” หลิน เฟิงถาม
“ตอนนี้เลย” เสียงที่เธอตอบกลับมาช่างเยือกเย็น ใบหน้าบ่งบอกถึงความอยู่เหนือกว่า หลิน เฟิงรู้สึกคุ้นเคยและแปลกไปด้วยในเวลาเดียวกัน
หลิน เฟิงก็ได้แต่เงียบไม่พูดอะไร ได้แต่จิบกาแฟต่อไป
“หลิน เฟิง ทำตัวดีๆนะ ฉันไปล่ะ” ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงจึงนึกถึงน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยจากหว่าน เอ๋อร์ที่ทั้งอบอุ่นและน่าจดจำ
หลิน เฟิงเงยหน้าขึ้นและอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าร่างของซู หว่านเอ๋อร์กลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว มีแค่เสียงที่คุ้นเคยของเธอดังก้องอยู่ในหัว
ใช้เวลาสักพักสำหรับหลิน เฟิงกว่าจะแสดงปฏิกิริยาออกมาและยอมรับความจริงที่ว่าซู หว่านเอ๋อร์ได้จากเขาไปแล้ว
หลังจากหว่านเอ๋อร์จากไป หลิน เฟิงก็ไม่ได้ไปเมาเหมือนครั้งก่อน แต่เขากลับดูสงบมาก
หลังกินเสร็จ เขาจึงสั่งกาแฟเพิ่มอีกสามถ้วยก่อนจะออกจากร้านไป
เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน หลิน เฟิงก็นอนลงบนเตียงก่อนจะมองแหวนที่อยู่ในมือ
ในตอนนี้ เขาก็ได้รับสายจากพนักงานบอกว่าทรัพยากรขยะในบางพื้นที่นั้นเต็มเกินกว่าที่จะบรรทุกมาได้ ฉะนั้นบริษัทของหลิน เฟิงจะต้องมากำจัดขยะพวกนี้โดยด่วน
เรื่องนี้ทำให้หลิน เฟิงรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าในตอนนี้ เมื่อเขามองแหวนที่อยู่ในมือ พลันก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ทำให้เบาหน้าเขายิ้มออก
จากนั้นหลิน เฟิงก็รีบไปยังที่เก็บขยะ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลิน เฟิงก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากเสียจนต้องทิ้งตัวลงกับเตียง
สัปดาห์นี้ หลิน เฟิงจึงไปที่ทิ้งขยะเพื่อไปเก็บเอาเศษแก้วที่จะถูกนำมาสกัดเป็นแหวนจิตวิญญาณ หลิน เฟิงได้สกัดแหวนวิญญาณเต็มรูปแบบถึงสิบวง
ช่องว่างที่เก็บของของแหวนวิญญาณระดับต่ำนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 ลูกบาศก์เมตร ส่วนระดับกลางนั้นอยู่ที่ 50 ลูกบาศก์เมตร ส่วนระดับสูงนั้นจะมากกว่า 100 ลูกบาศก์เมตร
แหวนวิญญาณระดับสูงวงหนึ่งสามารถจุแหล่งขยะให้หลิน เฟิงได้ถึง 100 ตัน และแหวนวิญญาณสิบวงก็สามารถจุแหล่งขยะให้หลิน เฟิงได้เป็น 1000 ตันในครั้งเดียว
และแหวนวิญญาณทั้งสิบวงนี้ก็จะช่วยหลิน เฟิงเก็บแหล่งขยะที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างรถบรรทุกและอื่นๆได้อย่างมหาศาล
วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่หลิน เฟิงจะคิดออกได้ในตอนนี้ ถึงจะเป็นแค่การแก้อาการเบื้องต้น แต่ก็ยังไม่ใช่ต้นเหตุอยู่ดี
ต่อมา หลิน เฟิงจึงขอให้หวัง หานช่วยแนะนำคนที่มีความสามารถตรงนี้กับเขา โดยขอให้หาคนที่มีหน่วยก้านที่ดี ว่องไวและมีความมั่นใจมา
วันต่อมา หวัง หานได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา ดูน่าจะอ่อนกว่าหลิน เฟิงสามหรือสี่ปี อาจจะประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี
0 ความคิดเห็น