TB:บทที่ 83 ความเชื่อมั่นที่โดนพังทลาย
“สกุลฉันคือซ่ง” ซ่งเต๋ากล่าวไปพลางสะบัดมีดในมือ หยดเลือดบนใบมีดกระเด็นออก ตอนนี้ใบมีดไม่มีหยดเลือดหลงเหลืออยู่แล้ว
“ลูกพี่ครับต้องขอประทานโทษด้วย พวกเราแพ้” ทั้งสองถอยออกมาอยู่ที่ข้างเฉินหลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอดสู
ทั้งสองร่วมมือกันสู้แท้ๆแต่กลับพ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียว นั่นทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยอีกทั้งยังรู้สึกละอายต่อความเชื่อใจที่เฉินหลงให้
“ไม่เป็นไร ยังไงพลังของเขาก็แข็งกล้ากว่าถึงจะแพ้ก็ไม่ต้องรู้สึกเสียศักด์ศรีไป เอาล่ะตอนนี้ไปรักษาแผลก่อน ทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้ฉันจัดการเถอะ แล้วก็นะ หลังกินข้าวเช้าเสร็จแล้วคงต้องออกกำลังกันสักหน่อย” เฉินหลงว่าก่อนจะค่อยๆวางซิการ์บนที่เขี่ยบุหรี่ เขายืนขึ้นอีกครั้ง
ใจจริงเฉินหลงไม่อยากจะให้ความหวังกับลู่หงหรอก เขาเพียงหวังว่าพวกนั้นจะได้ประจักษ์ต่อฝีมือระดับปรมาจารย์แม้พวกเขาจะแพ้ แต่เฉินหลงก็ไม่ติดใจอะไร
“ออกกำลังสักหน่อยเหรอ แกนี่จองหองจริงๆนั่นแหละ” ตาซ่งเต๋าประกายวาบ
“ความจองหองก็เป็นรากฐานของพลังที่แข็งแกร่งนะ” เฉินหลงยิ้ม
เฉินหลงเป็นยอดของยอดมีฝีมือทั้งหลายในขณะที่ซ่งเต๋าเป็นเพียงปรมาจารย์ แม้จะมีความห่างชั้นระหว่างพวกเขา เฉินหลงก็ยังเชื่อมั่นในตัวซ่งเต๋าอย่างแรงกล้า
“งั้นหรือ ขอดูทีเถอะว่ามีพลังที่ว่านั่นจริงไหม เตรียมรับมือ” หลังซ่งเต๋ากล่าวจบเขาเคลื่อนตัวพุ่งไปโจมตีจุดที่เฉินหลงยืนอยู่
“จัดมาสุดฝีมือเลยนะ เพราะมีแค่โอกาสเดียวเท่านั้น” เฉินหลงเลื่อนเก้าอี้ไปข้างหลัง ยืนขึ้น ตาเขายังมองตรงไปที่ซ่งเต๋า
“ช่างจองหองนัก แล้วจะได้เห็น “ไร้เงา” ของฉันอย่างที่แกอยาก”
ซ่งเต๋าพุ่งไปที่เฉินหลง ทันใดนั้นมีดในมือเขาก็ชี้ปลายมีดไปข้างหน้า การลงมีดที่ว่องไวนี้เล็งไปที่คอของเฉินหลง
ความเร็วในการลงมีดของซ่งเต๋าไวจนไม่อาจมองเห็นได้แม้แต่มีดหรือเห็นว่าเขาถือมีดอย่างไร ไม่ว่าจะใช้อาวุธใดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งมักไม่ใช่กระบวนท่าเลิศหรูอะไรแต่เป็นกระบวนท่าที่ธรรมดาและซื่อตรงที่สุดต่างหาก และด้วยกระบวนท่าเช่นนี้หากผ่านการฝึกฝนมานับล้านครั้งผู้ฝึกย่อมไปถึงระดับความแข็งแกร่งแบบไม่มีจุดด่างพร้อย
กระบวนท่า “ไร้เงา”ของซ่งเต๋านั้นแม้ชื่อจะฟังดูน่าเกรงขาม ทว่าก็เป็นเพียงกระบวนท่าง่ายๆ
“กิ๊ง”
ขณะที่มีดในมือซ่งเต๋ากำลังจะถึงคอเฉินหลงนั้น นิ้วทั้งสองปรากฏออกมายึดใบมีดไว้แน่นอย่างกะทันหันทำให้มีดไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย เจ้าของนิ้วมือที่ว่านี้คือเฉินหลง
“นี่คือสุดฝีมือแล้วเหรอครับ ดูไม่ค่อยดีเลย แค่นี้ผมยังไม่ได้อุ่นเครื่องเลย” เฉินหลงมองซ่งเต๋าด้วยท่าทีสบายๆ
สีหน้าของซ่งเต๋าในตอนนี้ตะลึงงัน กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาโดนเฉินหลงหยุดไว้ได้โดยใช้เพียงแค่สองนิ้ว
นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน พลังของเขาแข็งกล้าเท่ากับผู้ใช้แล้วหรือ นายของตระกูลเขาเป็นอัจฉริยะที่มีฝีมือระดับตำนานตอนอายุห้าสิบ แล้วทำไมกัน ทำไมเขาถึงมีฝีมือระดับซ่งเทียนเจี่ยได้ทั้งที่ยังหนุ่มขนาดนี้
ซ่งเต๋าไม่อาจเชื่อได้ว่าพลังของเฉินหลงเป็นระดับเดียวกับเทียนเจี่ย เขาพยายามดึงมีดกลับมาจากเฉินหลง แต่ไม่ว่าอย่างไรนิ้วของเฉินหลงก็ยึดใบมีดไว้แน่น ซ่งเต๋าออกแรงมากเพียงไรใบมีดก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
“ถ้าอยากได้นัก ผมให้ก็ได้นะ” หน้าของซ่งเต๋าแดงก่ำเพราะคำพูดเฉินหลง
เมื่อมีผู้ใดยื้อฝ่ายตรงข้ามสุดแรง หากจู่ๆฝ่ายตรงข้ามปล่อยมือละก็ อีกฝ่ายจะต้องล้มลงอย่างแรงแน่นอน และในกรณีนี้คือซ่งเต๋าที่จะล้มลง
ทันใดนั้นเฉินหลงก็คลายมือ ซ่งเต๋าที่ใช้แรงทั้งหมดเพื่อดึงอย่างสุดแรงถอยไปสองสามก้าวในทันที ก่อนที่จะล้มลงนั่งกับพื้น
พอได้เห็นแบบนี้เฉียนชานเจียก็รู้สึกโล่งใจ ตอนที่เขาเห็นซ่งเต๋าจะฟันเฉินหลง ใจเขาแทบหลุดออกมาจากอก แต่ต่อมาเมื่อเขาเห็นเฉินหลงจับมีดของซ่งเต๋าด้วยนิ้วเพียงสองนิ้ว เขารู้ได้ทันทีว่าจะไม่เป็นไร
“อยากลองเข้ามาอีกรอบไหมครับ” เฉินหลงกล่าวด้วยรอยยิ้มกับซ่งเต๋าที่นั่งอยู่บนพื้น
หน้าของซ่งเต๋าตอนนี้เต็มไปด้วยความหมดศรัทธา เขายอมรับไม่ได้ว่าตัวเขาที่ฝึกเพลงดาบมากว่าสี่สิบปีจะสู้กับนิ้วเพียงแค่สองนิ้วของเด็กหนุ่มไม่ได้
ความมั่นใจของซ่งเต๋ามีอยู่ด้วยความเชื่อมั่นในเพลงดาบของเขา เฉินหลงไม่ได้เพียงแก้ทางเพลงดาบเขาได้แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นนั้นไปอย่างสิ้นซาก
“ไปเถอะ” เฉินหลงมองซ่งเต๋าที่นิ่งเงียบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เฉินหลงรู้ดีว่าเขาพังทลายความมั่นใจของซ่งเต๋า และแม้ตอนนี้ซ่งเต๋าจะใช้ “ไร้เงา”อีกครั้ง พลังของ “ไร้เงา” ก็ไม่พอจะฟันอะไรให้ขาดได้แล้ว
ซ่งเต๋ามองไปที่เฉินหลงไม่ตอบกลับอะไร เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นช้าๆ เขาประคองแก๊งสายฟ้าทีละคนจนครบทั้งหกคนขึ้นรถแล้วก็ขับรถออกไป เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ที่นั่นต่อ
“คุณเฉิน นี่มันเป็นสามวันของการร่ำลาจริงๆนะเนี่ย จากนี้คงต้องมองนายใหม่แล้วล่ะ” หลังจากซ่งเต๋าจากไปเฉียนชานเจียก็มองเฉินหลงด้วยความแปลกใจ นี่คือคนเดียวกับที่โดนคนอื่นรุมทำร้ายแต่สู้อะไรกลับไม่ได้จริงๆหรือ
“ฮ่าฮ่า ผมเป็นคนถ่อมตัวน่ะ” เฉินหลงกลับไปที่เก้าอี้ตัวเดิม เขาหยิบซิก้าร์ขึ้นมาสูบต่อ
“ไม่เห็นรู้เลยว่ากำลังถ่อมตัวอยู่” หลังเฉียนชานเจียได้ยินคำตอบของเฉินหลง เขารู้สึกเพียงว่าอยากจะอาเจียน
“พี่เฉียน ผมช่วยพี่จากเรื่องคอขาดบาดตายคราวนี้แล้ว แต่อย่างไรก็คงมีอะไรแบบนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ผมว่าเราควรจบปัญหานี้ไปทีเดียวเลยดีกว่า” เฉินหลงพ่นควันแล้วมองเฉียนชานเจีย
“นายรู้วิธีเหรอ” เฉียนชานเจียกล่าวอย่างตื่นเต้น
ครั้งล่าสุดเขารู้จากเฉินหลงว่าคนในสกุลซ่งมีคนที่อาจจะสามารถอ่านความทรงจำของคนอื่นได้ เขารู้ในทันทีว่า ถ้าหากได้เจอคนคนนั้นเขาจะเล่าเรื่องที่เขาเคยส่งคนไปฆ่าซ่งหยู่ และเมื่อเขาได้ยินเฉินหลงพูดแบบนี้เขาจึงตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาไม่อยากหลบซ่อนเรื่องนี้แล้ว
“ยังหรอก” เฉินหลงตอบกลับช้าๆ
สีหน้าเฉียนชานเจียนเศร้าหมองลงหลังได้ยินคำตอบของเฉินหลง แต่แล้วคำพูดต่อไปก็ทำให้เขามีหวังอีกครั้ง
“แต่เดี๋ยวผมก็หาทางได้”
ด้วยเพราะระบบนี้ เฉินหลงเชื่อว่าจะต้องมีทางผนึกความทรงจำ
ซ่งเต๋าติดต่อกับซ่งเทียนเจี่ยหลังจากที่ขับรถออกไปแล้ว
“นายท่านครับ ภารกิจล้มเหลว”
แม้คำพูดของซ่งเต๋าจะสั้นแต่น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความรู้สึกโดนทอดทิ้งและความตกต่ำ และถึงซ่งเต๋าจะไม่ตระหนักถึงจุดนี้แต่คนที่รู้จักเขาดีสามารถรับรู้ได้ ซ่งเทียนเจี่ยคือคนหนึ่งที่รู้จักเขาอย่างดี
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้นายกลับมาได้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลัง”
ซ่งเทียนเจี่ยไม่ได้ถามถึงสาเหตุว่าทำไมซ่งเต๋าถึงได้พ่ายแพ้ เขาเพียงแต่ขอให้ซ่งเต๋ากลับมา ซ่งเต๋าเป็นระดับผู้นำในสกุลซ่ง เขามีบทบาทที่สำคัญมากในตระกูล เรื่องเฉียนชานเจียไม่มีอะไรสลักสำคัญเมื่อเทียบกับตัวเขาหรอก แล้วซ่งเทียนเจี่ยก็ไม่อยากให้เกิดอะไรไม่ดีกับซ่งเต๋าด้วย
“ผมน่ะกลับไปได้ แต่แก๊งสายฟ้าคงกลับไม่ได้นะครับ” ซ่งเต๋าว่า
ลู่หงทำให้แก๊งสายฟ้าใช้การไม่ได้ไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ลุกจากเตียงไม่ได้ไปอีกเดือนสองเดือน
“เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปจัดการเรื่องแก๊งสายฟ้าแล้วกัน นายกลับมาก่อนเถอะ”
“ได้ครับ”
หลังจากนั้นซ่งเต๋าก็ให้แก๊งสายฟ้าพักแล้วก็กลับบ้านไป
0 ความคิดเห็น