TB:บทที่ 76 การตามหาท่านอาจารย์

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 76 การตามหาท่านอาจารย์


“ถึงนายจะเอาจริงแค่ไหน ก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ฉันแนะนำว่านายอยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเลย ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดของฉัน ความสามารถของฉันอ่อนที่สุดแล้ว แค่นี้นายยังเอาชนะฉันไม่ได้เลย คราวหน้าคราวหลังก็อย่ามาทำปากเก่งที่นี่อีก เข้าใจ?” หลังจากประมือกับจ้าวอิงสองสามหมัด ลู่หงพยายามวัดพลังระหว่างเขากับจ้าวอิง หากเขายังดื้อดึงที่จะสู้กันอีก นอกจากทั้งสองฝ่ายจะเจ็บตัวแล้ว ฝ่ายที่ชนะก็คงดูอนาถาไม่น้อย และลู่หงเองก็ไม่ต้องการให้ผลลัพท์ออกมาเป็นแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ลู่หงจึงไม่ต้องการสู้กับอีกฝ่ายอีกต่อไป


"ย่อมได้ ถือว่าเห็นแก่นาย เรื่องในวันนี้จบกันแค่นี้แหละ" ฝ่ายจ้าวอิงเองก็เข้าใจดีว่า ถ้าลู่หงไปพาลูกพี่ของมันมา คนที่จะซวยก็คงเป็นเขาเอง การที่เขายอมออกจากที่ตรงนี้แล้วถอยกลับไปก่อนน่าจะเป็นความคิดที่เข้าท่ามากกว่า


หลังจากนั้น จ้าวอิงก็พาคนของตัวเองกลับไป


ในตอนแรก เขาอยากจะเข้าไปในบาร์ ควงผู้หญิงสักสองสามคนให้ชื่นใจสักหน่อย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ ถึงในตอนนี้สถานการณ์จะคลี่คลายลงแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี หงุดหงิดฉิบเป๋ง ไม่อยากเข้าไปแล้วว้อย


แต่ถึงอย่างนั้นสาวๆของเขาก็มีอยู่ทั่วทุกที่นั่นแหละ ... แม่งเอ้ย ไปที่อื่นก็ได้วะ คนอย่างเขาไม่จำเป็นต้องไปง้อไอ้ลู่หงมันเลย


"หึ จบเรื่องแล้ว มีอะไรที่อยากทำก็ไปทำซะ" หลังจากยืนมองจ้าวอิงกลับไปแล้ว ลู่หงจึงหันไปพูดกับคนที่อยู่รอบๆที่กำลังรับชมเรื่องสนุกๆอยู่


"จบแล้ว จบแล้ว ถ้านายอยากเข้าไปในบาร์ก็เข้าไป แต่ถ้านายไม่อยากเข้าไปแล้ว นายก็ค่อยมาดื่มวันหลังก็แล้วกัน"


......


เหล่าลูกน้องของลู่หงแยกย้ายออกจากการชุมนุม แล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองในบาร์ต่อ เพราะบาร์แห่งนี้เป็นแหล่งรายได้ของพวกเขา โดยปกติแล้ว พวกเขาหวังว่าธุรกิจของบาร์แห่งนี้จะเจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ



ไม่นานฝูงชนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน แต่กับลู่หงและจ้าวอิงที่ได้ต่อสู้กันในเวลาสั้นๆ เหตุการณ์นั้นได้ฝึงลึกเข้าไปในความทรงจำของพวกเขา เพราะมันไม่เหมือนกับที่เคยเห็นในหนังในละคร แต่มันคือวิชากังฟูของจริง พวกเขาได้ยินเสียงต่างๆได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องใช้เอฟเฟกต์พิเศษเข้าช่วยเลยสักนิด


มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา และความคิดนั้นก็คือ วิชากังฟูของราชวงศ์ต้าเทียน มันช่างสุดยอดจริงๆ


ลู่หงปล่อยให้พวกลูกน้องชื่นชมเขา จากนั้นก็กลับขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกัน ภายในห้อง มีแค่ลั่วเสวี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงใช้งานดวงใจอยู่


"น้องสี่ จัดการมันได้ไหม?" เจิ้งอี้เอ่ยถาม ในตอนที่เขาเห็นลู่หงเดินเข้ามาในห้อง


"เรียบร้อยแล้วครับ จ้าวอิงที่ประสาทกินเพราะเรื่องที่จอดรถของบอส แต่ว่าตอนนี้ผมไล่มันกลับไปแล้วครับ" ลู่หงตอบด้วยท่าทางที่ไม่แยแส


“จ้าวอิงไม่เคยได้รับบทเรียนเลยสักครั้ง ที่จอดรถที่มันเคยจอดเป็นของมันคนเดียวรึไง? คนอื่นจะจอดบ้างไม่ได้? คราวหลัง อย่าให้ฉันเจอมันนะ ถึงมันจะมีวิชากรงเล็บอินทรย์ก็เถอะ เจอหมัดเหล็กของฉันสักหน่อย เดี๋ยวรู้เรื่องเลย" เทียซินกล่าว


"หึ คุณควรจะเป็นมิตรกับอีกฝ่ายมากกว่านี้นะครับ เวลาที่คุณทำธุรกิจ คุณจะได้มีเงินเยอะๆไง ตราบใดที่เขายังทำตามกฎ เขาก็ยังถือว่าเป็นแขกของคุณอยู่นะครับ ทำไมคุณไม่หาเงินจากเขาล่ะ?" เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม


"ครับ บอสพูดถูก" เทียซินรีบพยักหน้าตอบ


“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ผมควรจะกลับได้แล้ว ในตอนที่เธอใช้ดวงใจเสร็จแล้ว ผมจะพาเธอไปที่บ้าน แล้วแนะนำเธอให้ครอบครัวของผมรู้จัก เวลาที่ผมไม่อยู่บ้าน เธอจะได้ปกป้องคนในครอบครัวให้ผมได้ อ้อ แล้วก็อย่าลืมอีกอย่าง ทำให้ลั่วเสวี่ยเป็นเหมือนกับคนปกติด้วยนะครับ เข้าใจไหม?" เฉินหลงกลัวว่าครอบครัวของเขาจะคิดว่าตัวเองเห็นผี ในตอนที่ได้เจอกับลั่วเสวี่ยที่ดูเฉิ่มแบบนี้


"ไม่ต้องครับบอส เราจะทำตามที่คุณสั่งทุกอย่าง" เจิ้งอี้ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


เฉินหลงเป็นเจ้านายของพวกเขาแล้ว ไม่ว่าเฉินหลงจะสั่งอะไร พวกเขาก็ต้องทำมันให้สำเร็จ


เฉินหลงส่งยิ้ม ให้เจิ้งอี้กและคนที่เหลืออีกสี่คน ก่อนที่จะออกจากบาร์ไป


"เฮ้ เสี่ยวยี่ เธอรู้สึกว่าตัวเองดูอ้วนบ้างไหม" หลังจากที่กลับมาถึงวิลล่าแล้ว เฉินหลงได้พูดคุยกับน้องสาว ทั้งสองคนกำลังกินขนมอยู่


"ไม่รู้!!!" ได้ยินเฉินหลงทักว่าเธออ้วนขึ้น ทันใดนั้นเฉินอี้วางขนมในมือลงทันที สีหน้าของเธอแสดงความกังวลออกมา


ในเมื่อเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น แม้แต่เฉินยี่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ในตอนที่ได้ยินเฉินหลงทักว่าตัวเองอ้วนขึ้น เธอก็เครียดขึ้นมาในทันที ไอ้พี่ชายปากเสีย เรื่องแบบนี้ไม่ต้องบอกก็ได้ย่ะ!


"ทำไมจะไม่รู้ เห็นๆอยู่ว่าเธอนั่งกินแต่ขนมทั้งวัน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้อ้วนได้ยังไงล่ะ มาๆ เดี๋ยวพี่ชายสุดหล่อของเธอจะพาไปวิ่งทุกเช้าจะได้เผาผลาญแคลอรี จะได้ลดน้ำหนักด้วย เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลย โอเค๊?" เฉินหลงไม่อยากให้น้องสาวที่น่ารักของตนกลายเป็นเด็กอ้วน ถึงขนมขบเคี้ยวบางอย่างจะอร่อยแล้วยังไม่มีผลข้างเคียงในระบบ แต่เขายังอยากให้น้องสาวของตนได้ออกกำลังกายแล้วลดน้ำหนักด้วยตัวเองอยู่ดี สุขภาพจะได้แข็งแรง แต่ถ้าน้องสาวของเขาลดน้ำหนักไม่ลงจริงๆ เห็นที เขาก็คงต้องให้เธอใช้ยาอีกสักครั้ง


"รู้แล้ว ก็เพราะพี่นั่นแหละที่ทำให้ฉันอ้วนขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ซื้อขนมมาไว้ที่บ้านตั้งเยอะขนาดนั้น ฉันจะอ้วนขึ้นไหม?" เฉินยี่มองค้อนเฉินหลง


เฉินหลงอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบขนมขบเคี้ยวสักเท่าไหร่ เขาซื้อขนมมาเก็บไว้ที่บ้าน เผื่อว่าวันไหนอยากกินก็จะได้ไม่ต้องออกไป เขาไม่คิดเลยว่าขนมพวกนั้นจะถูกเฉินยี่กินซะเกลี้ยงเลย


"เฮ้อ แม่บอกลูกแล้วว่าอย่ากินเยอะ แต่ลูกก็ไม่ฟัง" หลิวซิงหลานที่นั่งอยู่อีกด้านกล่าวขึ้น


ทุกวันนี้ ทุกครั้งที่หลิวซิงหลานเห็นเฉินยี่กินขนมกับเธอ เธอมักจะบอกให้ลูกสาวของเธอลดปริมาณในการกินทุกครั้ง แต่ลูกสาวกลับไม่ฟังเธอเลยสักคำ โธ่ ถ้าลูกยังเป็นอยู่แบบนี้ น้ำหนักมันก็ไม่ลดหรอกลูก


"แม่คะ แม่อย่าพูดแทงใจดำหนูอย่างนั้นสิ หัวใจของหนูบอบบางมากนะ" เฉินยี่มองไปที่แม่ของตนด้วยใบหน้าที่ขมขื่น ที่เธออ้วนขึ้น ลำพังแค่สู้กับตัวเองก็มากพออยู่แล้ว นี่เธอยังต้องสู้กับแม่ของเธออีกหรือ? นี่แม่เป็นแม่ของหนูจริงๆใช่ไหมคะ


"แม่ดีใจที่ลูกคิดได้นะ พรุ่งนี้เช้าก็ตื่นไปวิ่งกับพี่เขานะลูก" หลิวซิงหลานกลั้นยิ้มแล้วตอบ


"ค่า" เฉินยี่ผงกศีรษะอย่างช่วยไม่ได้


เฉินยี่ค่อนข้างต่อต้านการวิ่งในตอนเช้า ผู้หญิงแบบเธอชอบนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา นอกจากนี้ วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ปกติเธออยากจะนอนให้นานกว่านี้ แต่ตอนนี้เธออ้วนขึ้น เพื่อการลดน้ำหนักแล้ว เฉินยี่จำเป็นต้องเลิกทำในสิ่งที่เธอชอบมากที่สุด และต้องทำในสิ่งที่เธอเกลียดมากที่สุดเท่านั้น


ในตอนนี้เฉินยี่แค่อยากจะพูดออกมาว่า หัวใจของเด็กคนนี้ช่างบอบช้ำเหลือเกิน


เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินยี่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าและออกไปวิ่ง โชคดีที่เฉินยี่ลากตัวเสี่ยวเจี่ยกับเสี่ยวฮุยออกมาด้วย การที่เธอได้มาวิ่งกับใครสักคน มันทำให้ความคิดของเธอสมดุลมากขึ้น


ในช่วงเช้าเฉินหลงได้รับโทรศัพท์จากเจิ้งอี้ว่า เที่ยงคืนเมื่อวาน ลั่วเสวี่ยได้ซึมซับดวงใจแห่งพืชนับหมื่นเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่เธอซึมซับดวงใจแห่งพืชนับหมื่นเข้าไปแล้ว ลั่วเสวี่ยแข็งแกร่งขึ้นมาก เธอได้ปล่อยพืชชนิดหนึ่งออกมา และมีเพียงความตั้งใจเดียวเท่านั้นที่จำเป็นต้องให้ความรู้แก่ผู้คน


หลังจากที่เฉินหลงชวนพวกเขามาดินเนอร์ที่บ้านในคืนนี้ เขาก็วางสายในทันที


ทุกวันนี้ เฉินหลงมักจะคิดอยู่เสมอว่า นอกจากเพิ่มพลังของตัวเองแล้ว เขาจำเป็นต้องฝึกฝนและทำให้ความสามารถของตัวเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย


ในตอนนี้ ความสามารถของเฉินหลงอยู่ในระดับ "ปรมาจารย์" ระดับนี้ฟังดูแล้วทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองแล้ว ในระบบยังมีไอเท็มต่างๆอีกมากมายที่ช่วยพัฒนาความสามารถของเขาได้ แต่เฉินหลงยังจดจำคำพูดของเทียนซิงจื่อได้ว่า ความแข็งแรงระดับสูงสุดสามารถทำได้โดยการใช้ของวิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง และคะแนนแลกเปลี่ยนที่มีมากถึงหลายร้อยล้านคะแนน โอกาสที่จะเลื่อนขั้นเป็น "ปรมจารย์แห่งดวงดาว" ได้หายไป แต่ด้วยความพยายามของพวกเขา สามารถเลื่อนขึ้นจาก "ระดับดารา" ไปถึง "ระดับระบบศิรา" ได้ และผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม จะสามารถไปถึง "ระดับจักรวาล" ได้ในที่สุด


"คงได้เวลาตามหาอาจารย์เก่งๆสักคนแล้วสินะ" เฉินหลงรู้ดีว่าตัวเองจำเป็นต้องมีอาจารย์สักคน เพื่อพัฒนาความสามารถของตนให้เก่งขึ้น


     

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น