TB:บทที่ 67 ศาลาโบราณที่มีชื่อเสียง
"พี่เผิง เกิดอะไรขึ้นกับลูกของเรากันคะ?" หลี่เสี่ยวฮุ่ยหันไปถามเผิงเจิ้งฉางที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์
อยู่บนโซฟา
เผิงเจิ้งฉางเลื่อนหนังสือพิมพ์ลงเล็กน้อย หลังจากมองหลี่เสี่ยวฮุ่ยอยู่แวบนึง เขาละสายตาจากเธอ แล้วกลับมาอ่านหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือต่อ
คนอย่างหลี่เสี่ยวฮุ่ยมักจะไปช็อปปิ้งแล้วก็เล่นไพ่อยู่เสมอ ตั้งแต่ที่เธอได้ดูแลเจ้าลูกชาย เธอก็รับหน้าที่ดูแลเจ้าลูกชายไป ส่วนเผิงเจิ้งฉางขอไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน
"นี่ ฉันถามคุณอยู่นะคะ ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอคะ?" เห็นเผิงเจิ้งฉางเมินตัวเอง หลี่เสี่ยวฮุ่ยก็เริ่มอารมณ์เสีย
“ในเมื่อลูกชายของฉันโตแล้ว ที่ทำอะไรแบบนั้นลงไปเขาคงจะคิดมาดีแล้ว เราควบคุมเขาไม่ได้หรอกนะคุณ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ปกปิดคุณอย่างเมื่อกี้หรอกน่า” เผิงเจิ้งฉางพูดอย่างใจเย็น
หลังจากได้ยินคำตอบของเผิงเจิ้งฉาง หลี่เสี่ยวฮุ่ยก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนน้ำท่วมปาก นอกจากนี้ วันนี้เธอได้นัดพบกับเสี่ยวไป๋ของเธอเสียด้วย และตอนนี้เธอก็พร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว
"นี่คุณจะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ?" เผิงเจิ้งฉางถามขึ้นเสียงเบา
"ใช่ค่ะ ฉันมีนัดตั้งวงไพ่กับฮวนจือ" หลี่เสี่ยวฮุ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย และเธอก็กำลังโกหกอีกฝ่ายอยู่
หลี่เสี่ยวฮุ่ยเป็นคนที่ชอบกล่าวคำโกหกมาตลอดหลายปี และเขาก็ไม่ได้มีภาวะทางจิตหรืออะไรทำนองนั้น
ส่วนเผิงเจิ้งฉางก็ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ในมือของเขาต่อ
ดังนั้นหลี่เสี่ยวฮุ่ยจึงเปิดประตูแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก
แต่หลังจากหลี่เสี่ยวฮุ่ยเดินออกไปแล้ว สีหน้าเรียบนิ่งของเผิงเจิ้งฉางได้แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาในทันที เขารู้เรื่องเสี่ยวไป๋ของภรรยาเขาข้างนอกอยู่แล้ว แต่เพราะเขามีฐานะที่สูงศักดิ์ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันจะส่งผลต่อหน้าที่การงานของเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่เมินและปล่อยให้เธอได้เผชิญกับหายนะไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน* และชักธงอยู่ข้างนอก
หลังจากสูดหายใจลึกๆเข้าปอด เผิงเจิ้งฉางวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า แล้วเดินไปยังห้องของเผิงตง ไม่กี่วันที่ผ่านมาเผิงเจิ้งฉางเห็นว่าลูกชายของตนดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่นัก เขาหวังว่าเผิงตงจะสามารถออกมาจากห้องได้ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เจ้าลูกชายคงจะออกมาเองไม่ได้เสียแล้ว...
"เปิดประตู" ในตอนนี้เผิงเจิ้งฉางได้มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องลูกชายเป็นที่เรียบร้อย เคาะประตูแล้วกล่าวออกมา
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นภายในห้อง
"พ่อรู้ว่าลูกฟังพ่ออยู่ เปิดประตูมาแล้วออกมาคุยกับพ่อ" เผิงเจิ้งฉางพูดออกมาจากด้านนอก
หลังจากผ่านชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกจากด้านใน
หลังจากประตูเปิดออก เผิงตงก็หันหลังกลับแล้วเดินมานอนที่เตียงดังเดิม เขาเอาแต่นอนดูรูปซวีหมิงเหมยในโทรศัพท์มือถือ
"นี่ เจ้าลูกชาย ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็บอกพ่อได้นะ บางทีพ่ออาจจะช่วยลูกแก้ไขมันได้ก็ได้นะ" เผิงเจิ้งฉางขยับเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเผิงตง
เผิงตงหันหน้าไปมองพ่อของตัวเองแวบนึง จากนั้นก็หันกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือดังเดิม
ส่วนเผิงเจิ้งฉางเองก็ไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดๆออกมาอีก คราวนี้เขาตัดสินใจที่จะนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเผิงตงแทน
"พ่อครับ... บางที...ผมอาจจะทำเงินหกสิบล้านของพ่อหายไปแล้วก็หาไม่เจอ..." ไม่กี่นาทีต่อมาเผิงตงก็ยอมเปิดปากพูดออกมา ถึงเขาไม่อยากจะเชื่อว่าซวีหมิงเหมยโกงเงินเขา แต่ความจริงที่ว่าเขาขาดการติดต่อกับเธอมานานหลายวันแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขากำลังถูกฝ่ายนั้นหลอกเข้าแล้ว
"แล้วลูกรู้ไหมว่าใครเป็นตัวการของเรื่อง?" ใบหน้าของเผิงเจิ้งฉางที่เขาเห็น ไม่ได้ตำหนิเขาเลยแม้แต่น้อย
สมแล้วที่เผิงเจิ้งฉางขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย และสภาพจิตใจของเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ ถ้าคนทั่วไปได้ยินเรื่องนี้เข้า คงจะระเบิดลงหัวไปนานแล้วแน่นอน
"อืม... คนนั้นน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมของผม เขาชื่อเฉินหลงครับพ่อ" จากนั้นเผิงตงก็เล่าเรื่องราวต่างๆระหว่าเขากับศัตรูคู่ใจ เฉินหลง ให้พ่อของตนฟังทั้งหมด
"โอเค ไม่เป็นไร พ่อจะพยายามช่วยลูกจัดการเรื่องนี้สุดความสามารถ ส่วนผู้หญิงที่ลูกชอบ ถ้าเธออยากคบกับลูก พ่อก็จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่ถ้ามันเป็นเหมือนตอนนี้ล่ะลูก ถ้าเธอกลับมาจริงๆ ลูกไม่กลัวว่าตัวเองจะกลัวเธอทำเรื่องแบบเดิมซ้ำสองเหรอ?" เผิงเจิ้งฉางตบไหล่กว้างของเผิงตงสองสามทีแล้วลุกขึ้นยืน
เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อแล้ว ร่างที่ไร้วิญญาณของเผิงตง ทันใดนั้นได้กลับมามีความหวังอีกครั้ง
เผิงเจิ้งฉางส่งรอยยิ้มให้เผิงตง ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่เดินออกจากห้องแล้ว รอยยิ้มที่เขาปั้นเอาไว้บนใบหน้าก็ได้จางหายไปในอากาศทันที หลังจากฟังเรื่องราวต่างๆของเผิงตงแล้ว เขามั่นใจได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินหลง เพื่อที่จะแก้แค้นเผิงตง เขาใช้เงินมากมายไปกับบิวตี้ครีม สาวสวย แล้วก็บิ๊กบอส เรื่องทั้งหมดนี้มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก น่าทึ่งจริงๆ
ความจริงแล้ว เผิงเจิ้งฉางเองก็ไม่ได้ต้องการรับบทเป็นตัวร้ายกับเฉินหลงสักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ดันเป็นเรื่องของลูกชายและเงินหกสิบล้านหยวนของตัวเองไปซะได้ เขาจำเป็นต้องไปพบเฉินหลงสักหน่อย
จู่ๆเฉินหลงได้รับโทรศัพท์จากคนที่เขาไม่รู้จัก
"สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผมกำลังถือสายคุยกับใครอยู่ครับ?" ในตอนนี้ เฉินหลงที่กำลังหยอกล้ออยู่กับจี้โม่ซี ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างชั่วคราวแล้วรับสายโทรศํพท์ที่กำลังส่งเสียงดังขัดจังหวะเขาอยู่
"เฉินหลง ฉันเป็นพ่อของเผิงตงเอง ฉันชื่อเผิงเจิ้งฉาง ฉันมีเรื่องที่ต้องพูดกับเธอ" เผิงเจิ้งฉางพูดเข้าประเด็นด้วยน้ำเสียงที่กำลังออกคำสั่งเขาอยู่
"ลุงเผิง ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนนี้ผมไม่ค่อยสะดวก แต่ถ้าเป็นวันอื่นก็อาจจะได้ครับ" น้ำเสียงของ เผิงเจิ้งฉางพูดกับเขาไม่ค่อยสุภาพนัก ดังนั้นฝ่ายเฉินหลงเองก็จะไม่ให้ความเคารพกับผู้อาวุโสคนนี้เช่นกัน
"ฉันได้ยินมาว่าเธอมีน้องสาวที่กำลังจะเข้าโรงเรียนมัธยม" น้ำเสียงของเผิงเจิ้งฉางกำลังข่มขู่เขาอยู่
“ครับ ส่วนคุณเองก็ดูไม่เหมือนคนที่จะเอาเงินหกสิบล้านหยวนกลับคืนไปได้เลยนะครับ” เฉินหลงเองก็ไม่ยอมแพ้
ในเมื่อเผิงเจิ้งฉางกล้าขู่เขาแบบนี้ แล้วทำไมคนอย่างเฉินหลงจะต้องไว้หน้าอีกฝ่ายด้วยล่ะ ในเมื่อเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น ในตอนนี้เขาจะทำให้อีกฝ่ายล้มหน้าคะมำไปเลย คอยดูสิ
"ออกมาเถอะ ฉันไม่อยากทำเรื่องให้มันยุ่งยากไปมากกว่านี้แล้ว" เผิงเจิ้งฉางยังคงพูดต่อ
เฉินหลงใช้ความคิด และเขาก็เห็นด้วยกับความเห็นของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็ต้องการจบปัญหานี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
หลังจากที่ได้บอกเรื่องนี้กับจี้โม่ซีแล้ว เฉินหลงก็ขับรถไปยังสถานที่ที่เขาได้ทำการนัดหมายไว้ในทันที
สถานที่ที่เผิงเจิ้งฉางขอให้เฉินหลงมาเจอกับเขาคือโรงน้ำชาที่เงียบสงบมีชื่อว่า กู๋จิ่งหมิงเกอ
ศาลาโบราณที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ เป็นลานกว้างที่สวยงาม ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก ถัดออกไปคือบ่อน้ำโบราณไป๋ชาที่อยู่ใต้ภูเขาฮุ่ยหลง บ่อน้ำบ่อนี้ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว น้ำแร่ที่อยู่ในบ่อสามารถนำมาทำน้ำชาได้
และด้านหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ตำราไม้ไผ่ มีตำราไม้ไผ่*ประมาณ 100,000 เล่มอยู่ในพิพิธภัณฑ์ตำราไม้ไผ่ ซึ่งตำราแต่ละเล่มได้กล่าวถึงเรื่องราวก่อนที่จะเกิดสามก๊ก นอกจากนี้ยังมีสวนจิตรกรรมเหมยหลู ซึ่งจัดแสดงผลงานของนักเขียนอักษรวิจิตรและจิตรกรที่มีชื่อเสียงในหนานชู หลังจากที่ได้ดื่มชาแล้ว การเดินเล่นที่สวนจิตรกรรม และได้เพลิดเพลินกับผลงานของเหล่าศิลปินชื่อดังแล้ว นับว่าเป็นความสุขที่หายากอย่างหนึ่งในชีวิต
นอกจากนี้ยังมีต้นไผ่เขียวและต้นสนเขียวอยู่ในศาลาโบราณที่มีชื่อเสียง มันถูกห้อมล้อมด้วยโคมไฟทรงเหลี่ยมสีแดง ต้นไม้ต้นเล็กๆและศาลาในลาน นกพิราบโบยบินอยู่ใกล้ๆ ดอกไม้ ต้นไม้และก้อนหินที่ถูกวางเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ใต้ต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุนับพันปี คือกระแสธารน้ำที่ไหลผ่านและเหล่ามัจฉาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในนั้น
เผิงเจิ้งฉางอยู่ใต้ต้นไผ่ ที่โต๊ะน้ำชาใสบริเวณริมธารน้ำ หญิงสาวในชุดนอกเครื่องแบบคนหนึ่ง กำลังส่งถ้วยน้ำชาที่ใช้น้ำแร่เป็นส่วนประกอบในการชงชาให้กับเผิงเจิ้งฉาง
ในตอนที่เผิงเจิ้งฉางเงยหน้าขึ้นมา เขาหันไปเห็นเฉินหลงพอดี เขาจึงเผยรอยยิ้มออกมาผ่านใบหน้า พร้อมกับโบกมือให้กับเฉินหลง
"นายมาได้ทันเวลาพอดีเลย น้ำชาพร้อมแล้ว ลองชิมดูก่อนสิ" หลังจากเห็นเฉินหลงกำลังเดินมา เผิงเจิ้งฉางก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณครับ" เฉินหลงกล่าวคำขอบคุณ พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเผิงเจิ้งฉาง
“...รู้ไหมว่าจิตใจของคนเรามีหนึ่งพันจิตใจ หนึ่งจิตใจและชาหนึ่งชนิด... เป็นความจริงทุกคนต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร” เผิงเจิ้งฉางหยิบถ้วยน้ำชาของตัวเองขึ้นมา ออกแรงเป่าลมเบาๆ แล้วจิบน้ำชาคำเล็กๆหนึ่งอึก
*不是省油的灯 (Bù shì shěng yóu de dēng )
สำนวนนี้แปลตามตัวอักษรจะแปลได้ว่าไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ใช้ในการเปรียบเทียบกับคนที่เรื่องมาก มักจะสร้างความยุ่งอยากให้ผู้อื่นเสมอ หรือพวกที่เรามักจะเรียกว่าเยอะนั่นเอง
**ตำราไม้ไผ่
0 ความคิดเห็น