RC:บทที่ 414 ทำการใหญ่
หลังจากที่กลับไปยังโรงแรมแล้ว หลินเฟิงก็ผลอยหลับไปในเวลาไม่นาน เช้าวันต่อมา เขาก็ได้รับข่าวจากไคซือว่า เย็นนี้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะทำการใหญ่ และจะส่งพวกระดับสูงหลายคนเข้าไปจัดการเรื่องภายในถ้ำนั้น
หลินเฟิงไม่ควรเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เลือดบริสุทธิ์อีก 2 ส่วนของราชาทมิฬนั้นอยู่ในมือของชายลึกลับคนนั้น ซึ่งนั่นทำให้หลินเฟิงจำเป็นต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
เพื่อการนั้น หลินเฟิงจึงตั้งใจที่จะพักผ่อนที่โรงแรมจนถึงเวลาเที่ยง จากนั้นก็ออกไปรวมกับไคซือเพื่อที่จะไปยังถ้ำนั้นอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว และทันใดนั้นหวังหานก็เอาแหวนมิติจำนวนมากมาให้หลินเฟิง ในแต่แหวนมิตินั้นมีทั้งขยะรวมถึงทรัพยากรน้ำเสียที่ถูกเก็บไว้ในช่วงหนึ่งๆ
เพียงครู่เดียว หลินเฟิงก็จัดการแปลสภาพของเหล่านี้จนหมด และหลังจากกระบวนการฟอกขยะจบลง หลินเฟิงก็ส่งของพวกนี้กลับไปยังหวังหานอีกครั้ง
สิ่งที่ได้จากการสะกัดของเหล่านี้นั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของเหลวที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโต กับของเหลวเร่งการวิวัฒนาการที่ซึ่งสินค้าพื้นฐานของหลินเฟิงกรุ๊ปอยู่แล้ว
หลังจากที่จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ หลินเฟิงก็เปิดวงแหวนมิติสุดท้ายออกมา ซึ่งภายในนั้นมีสิ่งแปลกๆอยู่มากมาย แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ลังเลและลงไปจัดการของพวกนั้นทันที
ท่ามกลางของเหล่านี้ หลินเฟิงเห็นของ 10 ชิ้นที่ดูคล้ายกับชิปเซ็ตเล็กๆภายในกล่องเล็กๆ ที่ซึ่งมีลวดลายบนผิวหน้าต่างกัน
ทันทีที่เขามองและหยิบมันขึ้นมา เขาก็จำได้ มันคือ ชิบเนื้อเยื่อชีวภาพแบบต่างๆที่เจ้าลิงพัฒนาไว้ ตราบใดก็ตามที่ติดมันไปที่หัวหรือคิ้ว เขาจะสามารถควบคุมความสามารถของสัตว์วิญญาณได้ในทันที
หลินเฟิงมองสิ่งนี้ มันมีอยู่ 10 ชิ้น อันแรกนั้นเป็นแมว หลินเฟิงจำได้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นแมวประหลาดที่เจอในโบราณสถานลึกลับ มันว่องไวมาก นี่ถือว่าเป็นความน่ากลัวของมันเลย โชคดีที่ท้ายสุดก็ฆ่ามันได้
ตัวที่ 2 เป็นงูปีกยาว เจ้าตัวนี้หลินเฟิงได้ศึกษาเรียนรู้มันมาหมดแล้วภายในถ้ำไป่หูบนภูเขาไป่หู
ตัวที่ 3 เป็นอินทรีย์สีทอง
ตัวที่ 4 เป็นอาชาสวรรค์
เขาดูชิปทั้งหมดนี้ทีละอันๆ และเขาก็ต้องตกใจ เพราะงานวิจัยของเจ้าลิงนั้น สามารถเพิ่มความสามารถของหลินเฟิงได้เยอะเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆคนที่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้ก็จะสามารถใช้มันได้อย่างไม่คาดฝันเลย
ไม่นานนักในช่วงเที่ยงเหมือนกัน หลินเฟิงและไคซือก็ได้เจอกันอีกครั้ง
ไคซือพาหลินเฟิงไปกับกองทัพของเขา และเมื่อหลินเฟิงได้เจอกับกองทัพพวกนั้น ตัวเขาเองก็ประหลาดใจ
นั่นก็เพราะว่าท่ามกลางสมาชิกในทีมนั้น มีระดับ SSS ถึง 7 คนเลยทีเดียว โดยแบ่งเป็น SSS ระดับสูง 3 คน SSS ระดับกลาง 2 คน และ SSS ระดับต้น 1 คน
นอกจากนั้นยังมีพวกระดับ SS อีกกว่า 10 คน หลินเฟิงเพิ่งเคยเห็นการเดินทัพที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก นี่หรือคือความแข็งแกร่งของตระกูลศักดิ์สิทธิ์?
เมื่อหลินเฟิงและไคซือมาถึงที่หมาย พวกเขาทั้งหมดก็เตรียมตัวที่จะออกไปโดยการจับกลุ่มกัน
ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ 1 ใน SSS ระดับสุงโบกมือแหวกอากาศ และทันใดนั้นทุกๆคนในกลุ่มก็ลอยขึ้นไปในทันที
ในตอนนี้ ไคซือและคนอื่นๆเป็นฝ่ายนำหน้าไป พวกเขานั้นไปถึงสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมากันได้ในเวลาไม่นาน
และเมื่อไปถึง หลินเฟิงก็ต้องประหลาดใจเมื่อพวกญี่ปุ่นกับองค์กรกระโหลกโลหิตนั้นกลับยังไม่หนีไปได้ พวกเขายังคงมาทำงานที่นี่เหมือนปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อวันก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกหลินเฟิงมาถึงที่ถ้ำนี้ คนที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ในถ้ำก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงการมาของพวกเขา เพียงไม่นาน คนเหล่านี้ก็ออกมา
คนเหล่านี้ประกอบด้วยนินจาญี่ปุ่น หมาป่าเยอรมัน มนุนษย์กลายพันธุ์ที่ไม่รู้จัก แวมไพร์ฝรั่งเศส แล้วก็พวกองค์กรกระโหลกโลหิต และชายปริศนาในชุดดำ
ทั้ง 7 ทัพนั้นมารวมกันอยู่บริเวณปากทางเข้าถ้ำ และในตอนนี้มันมีคนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนเลย แต่ถึงแม้ว่าทางฝั่งหลินเฟิงจะไม่ได้มีคนเยอะแยะ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็นับว่าอยู่ในขั้นสุดยอดซึ่งทำให้อีก 6 ทัพที่เหลือเกิดเกรงกลัวขึ้นมา
ในจังหวะต่อมา พวกคนที่แข็งแกร่งอีกมากมายก็ลอยออกมาจากในถ้ำ ก่อนจะตามด้วยแต่ละทัพส่งคนระดับ SSS ออกมาด้วย
เหล่าคนในที่แห่งนั้นมองไปยังหลินเฟิงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวหรือลังเลเลย กลับกันพวกเขาเองยังดูจะมั่นใจมากๆด้วย SSS คนหนึ่งแห่งองค์กรกระโหลกโลหิตพูดขึ้น “จิ๊ส์ มีพวก SS ถึง 10 คนเลยงั้นเหรอ กองกำลังที่นี่ดูจะไม่ธรรมดาแล้วนะ ระวังตัวด้วยล่ะ!”
คนที่รับรู้และกล่าวเตือนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือคนที่จับกลิ่นอายของพวกหลินเฟิงที่เข้ามาเมื่อวานได้นั่นแหละ ตัวเขาเองก็ไม่ใช่กระจอกๆเลยเพราะอยู่ในระดับ SSS ขั้นกลาง กลิ่นอายของคนอื่นๆอีก 6 คนเองก็ดูจะอยู่ไล่เรี่ยกันระหว่างระดับต้นกับระดับกลางของ SSS ด้วย!
“ไอ้พวกกระโหลกโลหิต! พวกโจรบาปหนา! พวกแกเฝ้าทำสิ่งนี้มาเนิ่นนาน แกกล้าเรียกตัวเองว่าคนจีนได้ยังไง! ฉันให้อภัยสิ่งที่ทั้งแกและลูกสมุนทำกับคนจีนคนอื่นๆอย่างเลือดเย็นไม่ได้เด็ดขาด!” SSS ระดับสูงคนหนึ่งทางฟากหลินเฟิงเอ่ยขึ้น
“เลิกพล่ามเรื่องเมตตา ความถูกต้อง แล้วก็ศีลธรรมอันดีงามอะไรนั่นได้แล้ว พวกเรากินมันเป็นอาหารไม่ได้ จุดประสงค์เดียวของพวกเราก็คือความเป็นอมตะ จำไว้ว่าความเป็นอมตะเท่านั้น อย่างอื่นน่ะก็แค่มดปลวกไร้ค่าเสียเวลาที่จะยุ่งด้วย!” ผู้นำของเหล่ากระโหลกโลหิตพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“เหอะ ถ้างั้นฉันก็จะกำจัดพวกแกให้หมดในวันนี้เลย! อย่างน้อยๆนรกน่าจะเป็นทางออกสำหรับความอมตะที่อยากได้นะ!” SSS ระดับสูงทางฝั่งหลินเฟิงที่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้นำในทัพนี้เริ่มเคลื่อนไหว เขาปรบมือและทุกคนในทัพต่างก็รู้กันดีว่าหมายถึงให้เข้าทะลาย
ถึงแม้จะรู้ว่าน่าจะจัดการคนเหล่านี้ไม่ได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังปล่อยพลังวิญญาณอันแก่กล้าออกมา และมันทำให้อีกฝ่ายหลายคนกระอักเลือดและกระเด็นออกไปไกล
ในการเผชิญหน้ากับการปะทะที่รุนแรงเช่นนี้ พวกลูกกระจ๊อกทั้งหลายต่างพากันหวาดกลัวจนถึงขั้นกรีดร้องออกมา
ถึงแม้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งจากองค์กรกระโหลกโลหิตกับนินจาร่วมมือกัน แต่เมื่อต้องมาประมือกับทัพของตระกูลศักดิ์สิทธิ์นั้นมันก็นับว่าหนักมืออยู่ เพราะการตั้งรับและโต้กลับของพวกเขานั้นรุนแรงมากกว่าระดับที่เพียงฝ่ามือเดียวก็ซัดคนฝั่งนี้กระเด็นลอยไปไกลเลย
ผู้แข็งแกร่งทั้ง 2 หยุดหลังจากที่เห็นว่าฝ่ายตนกระเด็นไปไกลเพราะการโจมตีจากอีกฝั่ง ชายผู้แข็งแกร่งที่มาจากองค์กรกระโหลกโลหิตนั้นมองไปยังชายระดับ SSS ฝั่งหลินเฟิงที่กำลังเข้ามาทางเขาก่อนจะรีบพูด “กลับไปในถ้ำก่อน! ถ้ามีพลังก็ใช้พลังกลับเข้ามาเลย! เร็วเข้า!”
จากนั้น ผู้คนมากมายต่างก็รีบลอยเข้าถ้ำอย่างรวดเร็ว และหลายๆคนก็หายวั้บไปกับตาซึ่งนั่นทำให้พวกคนด้านนอกไม่สามารถตอบโต้ได้
มองไปยังพวกคนที่หายตัววับไปแล้วหลินเฟิงและคนอื่นๆต่างก็ช็อก ไม่คาดคิดเลยว่า พวกนั้นต่างก็แข็งแกร่งระดับ SSS เหมือนกัน ไยจึงหนีกันเอาซะดื้อๆแบบนี้ หรือเพราะคนพวกนี้ไม่อยากจะเผชิญหน้ากันนะ?
ผู้ที่แข็งแกร่งระดับ SSS ขั้นสูงกำลังโกรธขึ้นมาเพื่อไม่สามารถกำจัดศัตรูได้ และทันใดนั้นเขาก็เอ่ยสั่งขึ้นมา “ล่ามัน...จัดการมันให้ได้...ฆ่ามันให้หมด...และอย่าปล่อยให้มันรอดแม้แต่คนเดียว...”
0 ความคิดเห็น