TB:บทที่ 168 สกุลหวัง

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 168 สกุลหวัง 


“นายคือเฉินหลง” ในตอนนี้หวังเจียนมองเฉินหลง


ชื่อของเฉินหลงย้อนกลับมาในความจำเขา เขาเคยได้ยินจากตระกูลมาว่าคนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ควรไปท้าทายด้วย


อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อเขาเห็นเฉินหลง หวังเจียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉือเฮยหู และถึงแม้จะไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างเขาสองคนเลย


“ใช่แล้ว ผมคือเฉินหลง” เฉินหลงยิ้มและพยักหน้า 


หวังเจียนมองเฉินหลงพักหนึ่ง เขากล่าวต่อไป “จากที่ฟังที่บ้านมา พลังนายแข็งแกร่งมากนี่ จริงหรือไม่ ถ้าจริงฉันจะท้านายสู้ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะชนะก็ได้”


หวังเจียนเป็นพลทหารของตระกูลเขา และแม้ครอบครับเขาจะบอกไว้แล้วว่าอย่าไปท้าทายเฉินหลง แต่ด้วยความกระหายการต่อสู้ของเขาเป็นปัจจัยที่ไม่ว่าจะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำตาม ตอนที่เขากล่าวไป เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากสู้รบ 


หวังเฉียนจินที่เห็นหวังเจียนท้าเฉินหลงสู้แล้วได้แต่อ้าปาก หวังเฉียนจินปวดหัวขึ้นมา


เขากล่าวทันทีว่า “พี่จอมสับ พี่ฉือเฮยหูเป็นเพื่อนของอาจารย์เฉิน หากจะท้าทุกคนที่เห็นหน้าแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่นะครับ”


“เพราะเป็นเพื่อนกับฉือเฮยหู เลยไม่ต้องสนที่ท้าไปก็ได้ แล้วหลังจากที่ฉันชนะฉือเฮยหู ฉันจะมาท้านายใหม่อีกรอบ” หวังเจียนว่า แล้วจิตสังหายเขาก็หายไป “จะว่าไป ฉือเฮยหูไปไหนแล้วละ”


หวังเฉียนจินได้ยินที่หวังเจียนกล่าว เขาทำได้เพียงมองเฉินหลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มไม่ถือสาของเฉินหลงแล้ว เขาจึงวางใจ


 


“ฉือเฮยหูมาส่งนายเมื่อวานแล้วเขาก็ไปสะสางธุระเขาน่ะ” เฉินหลงว่าพร้อมรอยยิ้ม


ได้ฟังว่าฉือเฮยหูไปแล้ว หวังเจียนแสดงสีหน้าเสียดายออกมา “ตอนแรกฉันอยากจะไปดื่มไวน์กับเขาอีก เห็นทีว่าต้องเป็นครั้งหน้าแล้ว”


หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินหลงและพวกหวังก็ออกจากวิลล่าไปบ้านของสกุลหวัง


ในเวลาเดียวกัน เฉินหลงได้บอกฮัวหมิงเหรินเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะไปบ้านสกุลหวัง 


หวังเฉียนจินมาที่นี่ด้วยรถยนต์ ส่วนเฉินหลงใช้บีเอมดับเบิ้ลยูของเขา


ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ตระกูลสูงศักดิ์อยู่อาศัยและยังเป็นบ้านที่ดัดแปลงมาจากปราสาทราชวงศ์ชิงอีกด้วย 


บริเวณที่ดินของสกุลนี้เล็กกว่าของสกุลซ่งเล็กน้อย 


เมื่อได้เห็นคฤหาสน์ของสกุลหวังที่ดัดแปลงมาจากปราสาทอีกหลังแล้ว เฉินหลงกล่าวในใจว่าดูเหมือนพวกสกุลเก่าแก่พวกนี้จะชอบรูปแบบเช่นนี้ 


ตอนที่หวังเฟ่ยหลงรู้ว่าเฉินหลงจะมา เขาจึงออกมาพบเฉินหลงด้วยตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อตัวเขา


“อาจารย์เฉินครับ นี่คือหวังเฟ่ยหลง หัวหน้าของตระกูลหวัง ส่วนนี่คือ....” เมื่อเห็นว่าหวังเฟ่ยหลงออกมาเจอเขา หวังเฉียนจินรีบแนะนำให้เฉินหลงรู้จัก และเพราะเฉินหลงบอกว่าสามารถรักษาน้องของเขาได้ หวังเฉียนจินจึงเรียกเฉินหลงว่าเป็นอาจารย์มากกว่าจะเรียกนำหน้าว่าคุณ


แต่อย่างไรเสีย ก่อนที่เขาได้พูดจบ หวังเฟ่ยหลงได้พูดขัดขึ้นมาก่อน 


“อาจารย์เฉิน คงไม่ต้องแนะนำตัวในเมืองหลวงแห่งนี้หรอกครับ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณหรอก” หวังเฟ่ยหลงกล่าวอย่างกล้าจะพูด


“ช่างเป็นน้ำใจจริงๆ ท่านหวัง” เฉินหลงตอบกลับหวังเฟ่ยหลงอย่างสุภาพ 


“ฟังจากที่เฉียนจินว่า อาจารย์เฉินมาที่นี่เพื่อรักษาโรคของน้องชายเขาตามที่เรียนมาสินะครับ โปรดตามผมมา ว่าตามจริงแล้วการเรียนรู้จากวรรณกรรมนี่ก็เป็นเด็กที่ขยันนะครับ ตอนแรกความสามารถเขาเยี่ยมยิ่งกว่าเด็กเป็นพันคนเสียอีก ผมไม่คิดว่าจะต้องเป็นโรคแบบนี้ซะได้” หวังเฟ่ยหลงส่ายหัวและถอนหายใจด้วยความเสียดาย 


“คุณหวัง โปรดรอก่อนครับ ผมต้องการจะรอใครสักคน” เฉินหลงหยุดหวังเฟ่ยหลงไว้


หวังเฟ่ยหลงพยักหน้า ในตอนนี้เฉินหลงคือโอกาสของสกุลหวังของเขาที่จะยิ่งใหญ่ ว่าตามนี้แล้วเขาต้องพึ่งพาเฉินหลง


จากนั้นไม่นานฮัวหมิงเหรินรีบมายังที่นั่น ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง เขารีบเรียกออกมาว่า “อาจารย์ครับ” ด้วยสีหน้าเคารพนับถือ เขาไม่ได้สนใจอย่างอื่น อีกอย่างข้างๆเฉินหลงมีพวกสกุลหวังล้อมรอบอยู่


ที่มาด้วยกันกับฮัวหมิงเหรินคือ หลานของฮิวหมิงเหริน ฮัวเทียน เขาตามปู่เขามาทันทีที่อาจารย์เฉินหลงเรียก 


เฉินหลงพยักหน้าและหัวเราะ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร 


ฮัวหมิงเหรินเดินมายืนข้างหลังเฉินหลงทันที ในขณะเดียวกันก็มีฮัวเทียนที่ตามฮัมหมิงเหรินมาด้วย 


และแม้หวังเฟ่ยหลงจะเคยได้ยินเรื่องที่ฮัวหมิงเหรินนับถือเฉินหลงเป็นอาจารย์เขาแล้วก็ตาม แต่เขายังคงอึ้งอยู่เมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเอง จากนั้นสักครู่ เขาตอบกลับไป “หมอฮัว นี่คุณ...”


“ท่านหวัง ไม่รู้หรือว่าเฉินหลงเป็นอาจารย์ของผม คุณนี่ตกข่าวไม่ทันพวกตระกูลอื่น” ฮัวหมิงเหรินว่าด้วยสีหน้าภูมิใจ 


จากนั้นเขาได้กระซิบอย่างนับถือกับเฉินหลงว่า “ท่านอาจารย์ จะมีปัญหาใดหรือไม่หากครั้งนี้ลูกศิษย์คุณนำหลานมาด้วย อีกอย่างหนึ่งผมได้สอนเขาเรื่องการฝังเข็มที่คุณเคยสอนให้ผมเองแล้วด้วย หากคุณต้องการจะลงโทษผม โปรดลงโทษเขาด้วย”


ความสามรถทางการแพทย์ของหลานของเขายอดเยี่ยมไม่เลว ดังนั้นฮัวหมิงเหรินจึงสอนการฝังเข็มให้


“คุณเป็นศิษย์ผม และเขาคือหลานคุณ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันหมดครับ ทำไมต้องลงโทษคุณด้วยเล่า” ตราบใดที่ฮัวเหรินไม่ไปสอนเทคนิคการฝังเข็มไปทั่ว เฉินหลงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “เอาล่ะไปหาหวังซือเหวินและดูว่าฝีมือการฝังเข็มที่มีจะพอไหม”


“ครับ อาจารย์ อาจารย์นี่สำหรับตรวจสอบผล” ฮัวหมิงเหรินว่าอย่างตื่นเต้น 


จากนั้น หวังเฟ่ยหลงได้นำพวกเฉินหลงไปหาชายหนุ่มเงียบขรึมที่นั่งบนรถวีลแชร์และอ่านหนังสือ 


เมื่อปรายตามองไป จะเห็นได้ว่ามือและเท้าของชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนปกติทั่วไป พวกมันช่างบอบบาง 


เมื่อเห็นหวังเฉียนจินและหวังเฟ่ยหลงมาหาแล้ว ใบหน้าชายหนุ่มฉายรอยยิ้มสดใสและเรียกออกไป 


“พี่ ท่านนายใหญ่ของบ้าน” ด้วยเสียงแหบ


สิ้นคำ ชายหนุ่มวางหนังสือไว้บนตักและขยับวีลแชร์ไปข้างหน้า 


“น้องชาย วันนี้ฉันเชิญหมอฮัวและอาจารย์เฉินมาที่นี่ นายจะหายจากโรคนี้” หวังเฉียนจินเดินไปหาหวังซือเหวินและกล่าว


หวังซือเหวินมองฮัวหมิงเหรินและเฉินหลงแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ทั้งสองครับ”


จากนั้นพวกเขาไปยังห้องของหวังซือเหวิน


“ทุกคนครับ โปรดออกไปก่อนและทิ้งให้ผม ลูกศิษย์ผมและหลานชายเขาอยู่ที่นี่ก่อน” เฉินหลงกล่าว หลังจากนั้น เขานำตัวหวังซือเหวินไปนอนบนเตียงของตน 


เมื่อได้ยินที่เฉินหลงว่า หวังเฟ่ยหลงออกไปจากห้องพร้อมผู้ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลาย 


หวังซือเหวินประหลาดใจที่ได้ยินว่าฮัวหมิงเหรินเป็นศิษย์ของเฉินหลง เขารู้สึกไม่ชอบ 


“ไหนดูก่อนสิ บอกผลให้ผมฟังหน่อย” จบคำ เฉินหลงนั่งลงที่ข้างหนึ่งของเก้าอี้


ฮัวหมิงเหรินและฮัวเทียนรีบตรวจอาการหวังซือเหมินทันที 


สิบนาทีต่อมา คนทั้งสองกล่าวผลของส่วนกล้ามเนื้อที่หดของหวังซือเหวินทีละคน


“แน่ใจไหมครับว่าคุณรักษาเขาได้” ได้ยินผลตรวจแล้ว เฉินหลงจึงถามต่อ


ฮัวหมิงเหรินส่ายหน้า เวลาที่เขาได้เรียนรู้การฝังเข็มมีน้อยเกินไป เขายังไม่มั่นใจพอ 


เฉินหลงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรต่อ สุดท้ายแล้วเวลาที่ฮัวหมิงเหรินได้เรียนการฝังเข็มสั้นไปจริงๆ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่มั่นใจ 


“หมอฮัว ไม่เป็นไรครับ ผมป่วยแบบนี้มานานกว่าสิบปี และไม่น่าจะมีทางรักษาหายด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ตอนนี้” แม้ฮัวหมิงเหรินจะไม่รู้วิธีการรักษาตัวเขา แต่หวังซือเหวินยังคงอ่านหนังสือต่อด้วยอารมณ์ดี หลังอ่านหนังสือมาหลายต่อหลายปี เขาได้รู้แล้วว่าทางรักษาโรคเขามันสิ้นหวัง


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น