TB:บทที่ 136 หินแห่งแสง

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 136 หินแห่งแสง


หินแห่งแสงมีขนาดเท่าลูกวอลนัทและสามารถเปล่งแสงได้ แม้ว่าชื่อของมันจะเรียกว่าหินแห่งแสง แต่มันกลับไม่เหมือนหิน ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเหมือนวุ้น ที่เป็นรูปตัวคิว(q)มากกว่า แถมยังมีกลิ่นหอมด้วย


หลังจากที่ได้สูดดมกลิ่นหอมเข้าไปแล้ว เฉินหลงก็อยากจะกลืนหินแห่งแสงในมือของตัวเองลงไปในทันที แต่ในใจของเขายังคงรู้สึกต่อต้านมันอยู่ เพราะถ้าเกิดว่าเขากลืนหินแห่งแสงลงไปแล้วจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง ดังนั้นเขาควรจะไปหาใครสักคนหรือสัตว์สักตัว มาเป็นหนูทดลองน่าจะฟังดูเข้าท่ามากกว่า


เช้าวันรุ่งขึ้น หวังหูพาน้องสาวของเขาไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง


น้องสาวของหวังหู หวังเฟิงอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เธอดูอ่อนแอแถมยังดูเหมือนกับแจสเปอร์ตัวน้อย บางทีอาจเป็นเพราะอาการป่วยของเธอ ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือด ใครก็ตามที่ได้เห็นเธอในสภาพแบบนี้ เขาคนนั้นคงจะมีความคิดที่อยากจะปกป้องและรู้สึกสงสารเธอเหมือนกันกับเขาแน่นอน


"นี่คือคุณเฉินและแฟนของเขา คุณจี้ ส่วนคุณเฉินกับคุณจี้ครับ เธอเป็นน้องสาวของผม ชื่อหวังเฟิง" หลังจากเห็นเฉินหลง หวังหูก็ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน


หลังจากได้ยินคำแนะนำของพี่ชายแล้ว หวังเฟิงรีบโค้งให้เฉินหลงพร้อมกับกล่าวทักทาย "สวัสดีค่ะ คุณเฉิน คุณจี้"


ก่อนที่เธอจะมาถึงที่นี่ หวังหูได้บอกกับเธอเอาไว้ว่า ตอนนี้เขาได้ติดตามคนที่สูงศักดิ์คนหนึ่ง แถมคนที่สูงศักดิ์คนนี้ยังยินดีที่จะรักษาอาการป่วยของเธออีกด้วย เขาจึงบอกให้เธอทำตัวสุภาพเข้าไว้ หลังจากที่ได้พบอีกฝ่าย


เฉินหลงส่งยิ้มให้คนทั้งสอง โดยเฉพาะหวังหู "คุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าคุณเฉินหรอก ผมอยากให้คุณเรียกผมว่าพี่เฉินหรือบอสมากกว่า"


บางทีเฉินหลงอาจจะไม่ได้มีอายุเท่ากับหวังหู แต่ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องต้องสนใจเรื่องอายุของอีกฝ่ายเลยสักนิด ในสังคมนี้ ถึงเขาจะไม่เคยเห็นผู้สูงอายุหลายเรียกคนที่เด็กกว่าตัวเองว่าพี่ แล้วไง? ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ใครมีความสามารถมากกว่า ใครมีเงินมากกว่าก็เป็นพี่ได้ทั้งนั้นแหละ


"อ๊ะ จริงด้วย นี่ๆ เสี่ยวเฟิง เธอจะเรียกฉันว่าพี่ก็ได้นะ พอได้ยินเธอเรียกฉันว่าคุณแล้ว ฉันรู้สึกแปลกๆน่ะ" จี้โมซีเองก็ทักท้วงออกมาเช่นกัน


เมื่อเธอได้เจอกับหวังเฟิง จี้โม่ซีก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้เจอญาติของตัวเอง และความรู้สึกดีๆที่มีต่อเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ได้เพิ่มมากขึ้นในทันที


ในเมื่อเฉินหลงบอกกับทั้งสองคนว่าให้เรียกเขาว่าพี่ หวังหูจึงเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกเขาในทันที


"บอส มาดาม" หวังหูพูดขึ้น


ในตอนที่ได้ยินหวังหูบอกว่าตัวเองเป็นภรรยาของบอสแล้ว ใบหน้าของจี้โม่ซีก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงในทันที มันฟังดูเจ๋งมากแล้วเธอก็เต็มใจที่จะทำมัน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเธอแบบนั้น แถมคนอย่างจี้โม่ซียังเป็นคนขี้อายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงทำได้แค่มองดูหวังหูเท่านั้น


เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของจี้โม่ซีแล้ว เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า หวังหู ดีแล้วที่นายอยู่ตรงนี้


"พี่เฉิน พี่จี้" หวังเฟิงเรียกชื่อของพวกตามที่ได้ตกลงกันไว้


เฉินหลงลองใช้เครื่องดักจับ ตรวจสภาพร่างกายของหวังเฟิง และพบว่าไตของเธอมีก้อนเนื้อตายระดับผันผวน ถ้าได้การใช้ยารักษาช้า อาจจะทำให้อาการของเธอแย่ลง


เฉินหลงหันไปทางจี้โม่ซี แล้วบอกกับเธอว่าเขาต้องการคุยกับหวังเฟิง


จากนั้น เขาก็หันไปพูดกับหวังหู "หวังหู อาการป่วยของน้องสาวของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับไต"


เพื่อให้หวังหูซื่อสัตย์กับเขาอย่างแท้จริง การรักษาอาการป่วยของน้องสาวของเขาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถึงเฉินหลงจะใช้ผลซื่อสัตย์เพื่อทำให้หวังหูภักดีต่อเขาได้ แต่เฉินหลงอยากลองทำให้คนอื่นภักดีต่อเขา ด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่า


หวังหูเบิกตากว้าง แล้วจ้องหน้าเฉินหลงด้วยความตกใจ "บอส คุณจะรู้ได้ยังไงครับ? แล้วคุณรู้วิธีรักษาไหมครับ?"


ถ้าเฉินหลงต้องการตรวจอาการของน้องสาวของเขาจริงๆ เขาสามารถใช้ความสามารถของซูชิงเฟิงได้ แต่เฉินหลงกลับไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากซูชิงเฟิง ด้วยเหตุนี้ ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เฉินหลงจะสามารถช่วยเธอได้ก็คือ การศึกษาแพทยศาสตร์!


"แค่นิดๆหน่อยๆครับ" เฉินหลงยิ้มตอบ


หวังหูจึงรีบตอบว่า "บอสครับ ถ้าคุณสามารถรักษาโรคของน้องสาวคนนี้ได้ ทั้งชีวิตของหวังหูคนนี้เป็นของคุณครับ!"


หวังหูรู้ดีว่าเฉินหลงเป็นแค่คนถ่อมตัว นอกจากนี้ ถ้าเขาบอกว่าตัวเองรู้อาการแค่นิดหน่อย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง ที่อีกฝ่ายแค่มองหน้าน้องสาวก็ทราบถึงอาการป่วยของเธอแล้ว ในโลกนี้ น้องสาวเป็นญาติคนเดียวของเขา ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตและมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าเธอจะเคยทำไม่ดีมาก่อน แต่แค่นี้มันก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว


"ผมไม่ต้องการชีวิตของคุณหรอกครับ แต่ตราบใดที่คุณทำงานให้ผม ผมก็จะรักษาอาการป่วยของน้องสาวของคุณ ในตอนที่ผมกลับไปที่นั่น" เฉินหลงพยักหน้า


สำหรับแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาวิธีมาจะทดแทนไตคู่เก่าได้ ถึงจะเอาไตของคนอื่นมาแทนได้ เราก็ต้องสังเกตุอาการด้วยว่ามีการต่อต้นและอาการณ์อื่นๆเกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่ แต่การทำแบบนั้น มันค่อนข้างซับซ้อนและยุกยากมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับเฉินหลงแล้ว มะเร็งสามารถรักษาจนหายดีได้ เพราะโรคชนิดนี้นับว่าเป็นโรคอาการเบาเท่านั้น เขาสามารถใช้ลมปราณในการรักษาและกำจัดโรคนี้ได้ แลกกับลูกน้องที่ซื่อสัตย์แล้ว งานนี้นับว่าไม่ขาดทุน!


"ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆครับ บอส!" หวังหูกล่าวขอบคุณพร้อมกับคำนับเฉินหลงด้วยความดีใจ


"ไหนๆเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ" เฉินหลงเองก็รู้สึกพอใจเช่นกัน ที่ตัวเองสามารถหาลูกน้องที่ซื่อสัตย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งผลซื่อสัตย์


สามวันต่อมา เฉินหลงได้รับข้อความโทรศัพท์ ในข้อความที่ส่งมามีเพียงแค่คำสองคำคือ ‘ช่วยด้วย’ คนที่ส่งข้อความนี้มาคือตู๋เสวี่ย หญิงสาวที่เคยร่วมโต๊ะกับเฉินหลง


สำหรับตู๋เสวี่ยผู้ที่ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานร้องเพลงในร้านกลางคืน เพื่อหาเงินมารักษาแม่ของตัวเอง เฉินหลงยังจำความรู้สึกดีๆที่มีต่อเธอได้ และความรู้สึกดีๆพวกนั้นเป็นพวกความรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายเท่านั้น เฉินถึงได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองกับตู๋เสวี่ยไว้


เฉินหลงจึงโทรกลับไปหาตู๋เสวี่ย แต่กลับพบว่าโทรศัพท์มือถือของเธอถูกปิดเครื่อง ในเมื่อติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนไปใช้เครื่องดักจับเพื่อค้นหาตำแหน่งของเธอแทน เขาพบว่าเธอได้นอนหมดสติอยู่ในรถคันหนึ่ง


เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้ว คิ้วของเฉินหลงอดไม่ได้จะผูกกันเป็นปมยากที่จะแก้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ได้ไปยั่วโมโหใครสักคน จนทำให้ตัวเองถูกลักพาตัวเลยเนี่ยนะ? นี่เธอไปทำอีท่าไหนกันละนั่น


เขาและตู๋เสวี่ยเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่กลับถูกชะตากันเพราะได้กินข้าวด้วยกัน ถึงคุณจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นยังไง ก็ช่างมันเถอะ แต่ในตอนนี้เธอส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือแล้ว แสดงว่าเธอต้องตกอยู่ในอันตราย ถึงคุณไม่ช่วยเธอ ก็คงแล้วแต่คุณ แต่สำหรับเฉินหลงแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆเด็ดขาด


ด้วยเหตุนี้ เฉินหลงจึงตัดสินใจตรงดิ่งกลับบ้านในทันที หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหลงก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองคิดถูกแล้วตัดสินใจกลับบ้าน


เฉินหลงได้ติดตามตู๋เสวี่ยด้วยเครื่องดักจับ ในไม่ช้ารถก็ได้เคลื่อนที่ออกไปจากซูตู หลังจากนั้นอีกสิบนาที รถก็ขับเข้าไปในวิลล่าหลังใหญ่หลังหนึ่ง


นอกจากนี้ ในวิลล่ามีกล้องติดอยู่ทุกมุม และบางครั้งก็มีชายในชุดสูทสีดำที่ดูแข็งแรงเดินลาดตระเวนอยู่


หลังจากที่ขับรถไปจอดที่โรงรถในวิลล่า มีชายสี่คนลงมาจากรถคันนั้น โดยมีสองคนอุ้มตู๋เสวี่ยลงมาจากรถ ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่เปิดประตูลับในโรงรถ แล้วทั้งสี่คนก็ได้หายเข้าไปในโรงรถ


ด้านหลังประตูลับเป็นห้องใต้ดินที่ดูเหมือนกับห้องขัง ตามทางมีประตูเหล็กทั้งสองด้าน ประตูเหล็กที่ปิดสนิท และมีตัวเลขไม่กี่ตัว อักษรภาษาอังกฤษ ตัวอักษรจีนแล้วก็มีภาษาอื่นๆอีก


เมื่อแก้รหัสนี้ได้ ชายทั้งสี่คนก็อุ้มตู๋เสวี่ยเข้าไปในห้อง แสงไฟในห้องนี้เป็นสีแดงเข้มและให้ความรู้สึกแปลกๆ แถมในห้องยังมีกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้คนที่สูดกลิ่นนี้เข้าไปแล้ว สามารถเพิ่มปริมาณการหลั่งของฮอร์โมนได้อีกด้วย


ในห้องนี้มีอ่างน้ำร้อนที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ นอกจากนี้ยังมีเตียงขนาดใหญ่ ที่มีชายในสภาพเกือบเปือยทั้งตัวนอนอยู่ แถมมีหญิงสาวที่เปลือยผ้าสองคนนั่งคุกเข่าขนาบซ้ายขวาอยู่บนเตียงอีกด้วย


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น