RC:บทที่ 379 ศึกระดับ S

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 379 ศึกระดับ S


 “เอาล่ะ พวกเขาไปกันหมดแล้ว ตัวตนของหมาป่ากระหายเลือดจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างงั้นแล้ว จะมีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังแบบนั้นได้ยังไงกัน คราวหน้า ฉันจะต้องมีโอกาสได้ตรวจสอบโดยละเอียดแน่” หยุนเชาเอ่ยขึ้นกับคนของเขา


“ครับ ท่านหยุนเชา”


พูดจบ ผู้คนทั้งหลายก็ออกจากลานประลองเถื่อนใต้ดินกันไป


ไม่กี่วันต่อมา หลิน เฟิงก็ได้เข้าร่วมก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้การแข่งถึงสองครั้ง และคู่ต่อสู้ที่เขาได้เจอแต่ละคนนั้นก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หลิน เฟิงได้พัฒนาประสบการณ์การต่อสู้และความสามารถในการต่อสู้ของสัตว์วิญญาณผ่านการต่อสู้ในทุกๆวัน


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก หลิน เฟิงไม่เคยแพ้เลยเป็นเวลาห้าวันติดๆกันแล้ว และในหนึ่งวันจะต้องต่อสู้กันถึงสองครั้ง แม้ว่าหลิน เฟิงจะเอ่ยว่าเขาไม่ได้จัดการคู่ต่อสู้ด้วยพละกำลังอย่างก่อนหน้านี้เลย แต่ทว่าเขาก็กลับได้รับชัยชนะในการแข่งตอนจบทุกครั้ง


และเพราะวิธีในการที่หลิน เฟิงสู้แบบนี้นี่เองที่ทำให้ผู้ชมที่อยู่ข้างหลิน เฟิงถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง แต่ทุกๆครั้งเมื่อพนันข้างหลิน เฟิง พวกเขาก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น พอหลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ความนิยมของหลิน เฟิงก็พุ่งไปถึง 10000 คนเลยทีเดียว


หนึ่งในระบบการแจกรางวัลสำหรับผู้แข่งก็คือ ยิ่งมีคนเข้าชมมากเท่าไหร่ รางวัลที่ได้รับก็จะได้มากขึ้นเท่านั้น ในสามวันแรก หลิน เฟิงได้รางวัลเป็นหินวิญญาณ​ระดับต่ำไปมากกว่า 100000 ชิ้นและในสองวันต่อมา ก็พุ่งไปถึง 300000 ชิ้นเลยทีเดียว


แต่อย่างไรก็ตาม หลิน เฟิงกลับไม่เลือกหินวิญญาณ​แต่กลับเลือกศิลปะการต่อสู้ เพราะเขานั้นต้องการคุณลักษณะที่หลากหลายของศิลปะการต่อสู้แบบอื่นๆและในตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ศิลปะการต่อสู้เลย ดังนั้น หลิน เฟิงจึงเลือกที่จะทิ้งเรื่องหินวิญญาณที่เขาจะได้ในตอนแข่งไปชั่วคราว


เมื่อหินวิญญาณของหลิน เฟิงนั้นมีพอที่จะใช้แลกศิลปะการต่อสู้ที่เขาต้องการแล้วนั้น หลิน เฟิงก็จะใช้หินวิญญาณทั้งหมดนั้นแลกกับศิลปะการต่อสู้


ในหนึ่งสัปดาห์นี้ หลิน เฟิงก็ได้หินวิญญาณ​มามากกว่าหนึ่งล้านชิ้นแล้ว เขาจึงใช้มันแลกกับวิชาการต่อสู้สองอย่างมา อันหนึ่งคือคุณลักษณะน้ำซึ่งก็คือหมัดตี้เผิง ส่วนอีกอันก็คือคุณลักษณะสายฟ้าซึ่งก็คือหมัดเทียนเล่ย


ในตอนนี้ หลิน เฟิงจึงใช้การต่อสู้สองอย่างนี้ และนี่ก็เพราะหลิน เฟิงจะต้องเข้าใจคุณลักษณะของศาสตร์พลังนี้ด้วย ไม่อย่างงั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะไปถึงระดับ S นั่นเอง


ในห้าวันนี้ อัตราเร็วในการเติบโตของหลิน เฟิงนั้นเป็นที่อัศจรรย์ใจอย่างมาก จนถึงตอนนี้ เขาเองก็ยังไม่ได้ใช้สัตว์วิญญาณและศิลปะการต่อสู้อื่นๆ และทุกๆครั้ง เขาก็จะใช้แค่สิงโตทองสายฟ้าเท่านั้น


และด้วยเหตุผลนี้ หลิน เฟิงจึงได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในม้ามืดตัวเอ้ที่สุด ที่สามารถเอาชนะผู้ใช้พลังระดับ A ได้


หลังจากต่อสู้มาแล้วห้าวัน หลิน เฟิงก็ค่อยๆเข้าไปสำรวจพลังของศาสตร์แห่งพลังที่เป็นคุณลักษณะของสายฟ้า แต่กลับเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เหมือนกับคุณลักษณะสองอันอื่นๆเลย


ในที่สุด วันหยุดก็มาถึง ปาเต๋าที่อยู่ข้างๆหลิน เฟิงนั้นถูมือไปมา และเขาก็เป็นผู้ใช้พลังระดับ S ด้วย การต่อสู้ก็จะแข่งกันแค่ครั้งเดียวในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น เขาจึงทนแทบไม่ไหวแล้ว


วันนี้ ถึงตาเขาแล้ว หลังจากมีการประกาศให้เริ่มการต่อสู้ของเขาผ่านทางวิทยุแล้วนั้น เขาก็รีบผุดลุกออกไปทันทีอย่างตื่นเต้น


หลิน เฟิงกับหวังฉีเองก็กำลังเชียร์เขาจากที่นั่งผู้ชมที่อยู่ข้างล่าง และเขาจะต้องชนะแน่ๆ นอกจากนี้ ยังมีหินวิญญาณอยู่หลายชิ้นแล้วด้วย หลิน เฟิงกับหวัง ฉีก็ชนะได้มา 300000 ชิ้นและหวัง ฉีก็ได้มา 100000 ชิ้น


ในสัปดาห์นี้ หวัง ฉีชอบที่จะติดตามหลิน เฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อได้ตามเขาไปในทุกๆครั้ง โดยจะพนันข้างหลิน เฟิงทุกครั้ง แล้วก็จะได้เงินมามากมายเลยด้วย 


ในสัปดาห์หนึ่ง เขาทำเงินได้เป็นแสนๆซึ่งตอนปกติทำไม่ได้แบบนี้ แต่พอหลังจากได้ตามหลิน เฟิงไปแล้วนั้น ทุกอย่างก็ยิ่งดูเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แม้ว่าเขาจะคิดว่าเป็นความฝันก็ตาม


ปาเต๋าตรงไปที่ลานประลอง โดยที่คู่ต่อสู้กำลังรอเขาอยู่ และเมื่อคู่ต่อสู้ตรงหน้าได้เห็นปาเต๋านั้น เขาก็รู้ช็อคไปในทันที เพราะคิดไปว่านี่เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ แถมพลังของลมหายใจของปาเต๋าเองก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยด้วย


แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เล่นหน้าเก่า เขาก็สงบใจได้เร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เพราะศึกการต่อสู้ระดับ S นั้นมีอยู่มากมาย และคนไหนที่ไม่ระวังตัวให้ดีก็จะพ่ายแพ้อีกฝั่งไป สิ่งแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ


ดังนั้น คู่ต่อสู้ของปาเต๋าจึงไม่ได้นึกกังวลเรื่องนี้มากนัก และเมื่อผู้คนเห็นเพียงแค่ทั้งคู่ที่ยืนอยู่บนลานประลอง แรงส่งที่ทุกคนเห็นว่าแผ่ออกมาจากร่างของทั้งสองคนนั้นก็ทำเอาทุกคนแอบตกใจกันไปเลยทีเดียว


คนที่มาอยู่ต่อหน้าปาเต๋าก็คือหน้ากากเสือ แรงส่งของเขานั้นช่างลึกล้ำและน่ากลัวไปถึงข้างในส่วนลึกกันเลยทีเดียว โดยฉายาของเขาก็คือเทียนหู


เมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่ทรงพลังและอำนาจ ผู้คนที่อยู่ข้างนอกต่างก็ส่งเสียงเชียร์เทียนหู และเมื่อได้ยินฉายาของปาเต๋าว่าเป็นหัววัว ไม่ว่าจะเป็นใครก็รู้สึกดีไปหมดตามๆกัน 


พวกเขาต่างยักไหล่ แม้ว่ามาปาเต๋าจะดูทรงพลังมาก แต่ฉายาของเขาดูจะไม่เป็นแบบนั้นเลย และเกือบ 80% ของคนที่นี่ก็ชนะการแข่งมาแล้วด้วย


การต่อสู้ระดับ S จะได้รับการจัดขึ้นในหนึ่งสัปดาห์สำหรับคนหนึ่งคน ดังนั้นจำนวนผู้คนจึงเยอะมาก มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าคนเลยทีเดียว และนั่นทำให้หลิน เฟิงตกใจมาก 


แต่อย่างไรก็ตาม หลิน เฟิงก็ดูจะเข้าใจว่าการแข่งระดับ S ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องดูน่าตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินกว่าการแข่งระดับ A อยู่แล้ว ไหนจะดึงดูดผู้คนได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีจัดขึ้นครั้งเดียวในหนึ่งสัปดาห์อีกด้วย ของหายากมักมีราคาเสมอ และจำนวนผู้คนก็ไม่เยอะมากจนเกินไปด้วย


“ทั้งสองฝ่ายพร้อมสู้แล้ว” เมื่อสิ้นสุดคำสั่งแรก ทั้งสองก็เริ่มสู้กันโดยไม่มีการอ้อยอิ่งแต่อย่างใด ใช้หมัดต่อหมัดเข้าสู้ เสียงเข้าปะทะกันของหมัดสะเทือนไปถึงหูของผู้ชม และแสงจากการปะทะนั้นก็ส่องมาที่ดวงตาของทุกคน


และนี่คืองานฉลองที่เห็นได้ด้วยตา การโจมตีของทั้งคู้นั้นน่าสะพรึงกลัว ความเร็วก็เหลือเชื่อ จนผู้คนเห็นเป็นแค่แสงลำเล็กๆทั้งสี่ลำจากแท่นประลอง รวมถึงเสียงที่ปล่อยออกมาจากที่นั่นด้วย


ผู้ชมส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้ล้วนแต่อยู่ในระดับ C และระดับ B มีระดับ A และระดับ S ปะปนกันเล็กน้อย โดยคนที่อยู่ระดับ S มีน้อยสุด ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการแข่งขันของคนที่มีระดับที่สูงด้วย


โดยทั่วไปแล้วนั้น พวกนี้มักจะยุ่งจนไม่มีเวลา ก็เลยไม่แสดงตัว ผู้คนจึงไม่รู้


คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับ A ไม่สามารถตามการต่อสู้ของผู้ใช้พลังระดับ S ทั้งสองคนได้ทันอยู่แล้ว ตาเนื้อของพวกเขาเห็นเป็นเพียงแค่แสงจากการต่อสู้บนเวทีเท่านั้น รวมถึงเสียงของการต่อสู้ที่อื้ออึงไปมา


มีเพียงผู้อยู่ระดับ A และระดับ S ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นการโจมตีของทั้งสองบนลานประลองได้อย่างชัดเจน ที่ทั้งน่ากลัวและรวดเร็วมากเพียงใด


พวกเขาต่างตะลึง บางคนก็อดที่จะพึมพำขึ้นมาไม่ได้ “นี่นะหรือการต่อสู้ของพวกระดับ S น่ากลัวเสียจริง”


สำหรับคนทั่วไปแล้วนั้น การต่อสู้ระดับ S จะได้เห็นชัดๆก็แค่ครั้งเดียวในที่แห่งนี้ ดังนั้น ทุกคนจึงดูไม่วางตาหรือพลาดไปสักนาทีเลย


“ผัวะ!”


พลันก็มีเสียงดังเกิดขึ้น จากนั้นร่างของทั้งสองคนก็กระเด็นออกมา คนหนึ่งปลิวไปข้างหลัง ส่วนอีกคนค่อยๆกลิ้งกลับไป


ผู้คนเห็นเพียงแค่ว่าร่างทั้งสองกระเด็นออกไป แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จึงเดากันไปต่างๆนาๆสักพัก


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น