TB:บทที่ 85 เทวาครึ่งเทพ
เมืองติฆัวนาอยู่ไม่ไกลจากเมืองลาปาส ห่างไปเพียงขับรถชั่วโมงหนึ่ง เฉียนชานเจียที่กลับไปบ้านแล้วได้ทิ้งรถเอาไว้ให้เฉินหลง
หลังจากไปถึงที่แล้วเฉินหลงก็ได้เห็น “ประตูสุริยัน” ที่หน้าตาคล้ายกับที่เขาเห็นในเครื่องมือของระบบเพียงแต่ว่ามีความแตกต่างกันอยู่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองเช่นนี้
ตรงขื่อประตูแกะสลักเป็นลวดลายคล้ายกับลวดลายบนพรม มีรูปเคารพของเทพเจ้าตั้งยืนอยู่ตรงข้างหน้า รูปเคารพนี้ถือคฑาอยู่ในมือและสวมใส่เสื้อคลุม รอบๆส่วนศีรษะตกแต่งด้วยรูปสลักหัวของเฉลยศึก บนรัศมีของรูปเคารพเป็นรูปหัวของสัตว์ต่างๆ ปลายทั้งสองด้านของคฑาประดับด้วยรูปสลักของนกอินทรีที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์ในความเชื่อของแถบอเมริกา ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่ารูปเคารพของเทพเจ้าที่ตั้งอยู่นี้คือรูปเคารพของ “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์” ทั้งสองด้านของประตูมีรูปสัตว์แปลกประหลาดอยู่สามแถว รูปสลักพวกนั้นสวมกรวยรูปกลีบดอกไม้ในมือถือคฑา พวกมันทำท่าคุกเข่าเคารพเทพเจ้าที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนบนและล่างของรูปสลักสัตว์มีศีรษะเรียงราย ดวงตาของศีรษะพวกนั้นเบิกโพลง บางหัวมีเหยี่ยวเกาะอยู่ข้างบน ทั้งหมดหันหน้าไปทางเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ประตูหินบานนี้อาจจะเป็นประตูของวิหารเมื่อครั้งอดีต แต่ด้วยสาเหตุบางประการประตูที่หลงเหลืออยู่ของวิหารนี้จึงจารึกไว้เพียงชัยชนะ
ที่นี่ตั้งอยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของระดับน้ำทะเล ความกดอากาศจึงต่ำมาก ออกซิเจนในอากาศก็ต่ำอย่างมากเช่นกัน หากไม่ใช่คนท้องถิ่นแล้วการออกแรงเป็นอะไรที่ทรมานเกินทานทน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ที่ราบสูงแห่งนี้ก็มีเมืองใหญ่ตั้งอยู่
สภาพของที่นี่ไม่มีผลอะไรต่อเฉินหลง
ประตูหินมีรั้วกั้นโดยรอบ บางทีอาจมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือสัตว์ต่างๆหลงเข้าไป
เมื่อตรวจดูรอบๆประตูสุริยันแล้ว เฉินหลงไม่พบอะไรที่ผิดปกติอีก ด้วยความที่ตอนนี้เป็นช่วงกลางวัน เฉินหลงทำได้เพียงมองดูประตูสุริยัน เขาควรกลับมาใหม่ช่วงกลางคืน
ช่วงพลบค่ำ เฉินหลงกลับมาที่ประตูสุริยันอีกครั้งเพียงลำพัง ครั้งนี้เฉินหลงได้ปลอมตัวให้เหมือนคนท้องที่
เขามองที่รั้วที่สูงเพียงแค่สองเมตรและไม่มีเครื่องมือป้องกันคนบุกรุก เฉินหลงกระโดดข้ามรั้วไปทั้งอย่างนั้น
หลังจากที่เขาเดินมาถึงหน้าประตูสุริยัน เขาก็คลำไปทั่วประตูหินบานนี้อย่างระมัดระวัง
นี่คือประตู ดังนั้นน่าจะเป็นทางเข้าไปสู่อะไรสักอย่าง ถ้าหากประตูนี้มีไว้เพื่อให้คนเดินเข้าไปก็น่าจะมีกุญแจเพื่อเปิดประตูนี้
เฉินหลงลองกระทืบพื้นตรงรอบๆบานประตูหินเพื่อสำรวจหาช่องว่างข้างล่างประตู หลังจากวนไปรอบหนึ่ง เสียงสะท้อนกลับก็ชี้ชัดว่าข้างล่างเป็นพื้นแข็ง
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเฉินหลง ประตูบานนี้ก็มีการค้นพบมานานมากแล้วถ้ามีช่องว่างอะไรข้างล่างก็น่าจะค้นพบไปแล้วไม่น่ารอให้เฉินหลงมาค้นพบหรอก
พอไม่เจออะไรข้างล่าง เฉินหลงก็เริ่มสำรวจบนประตู
บนประตูมีรูปสลักอยู่มากมาย เฉินหลงคิดว่ารูปเคารพของ “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์”น่าจะเป็นกุญแจของทางเข้านี้
สองสามนาทีต่อมา เฉินหลงรีบพุ่งไปที่รูปเคารพของ “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์” ที่ส่วนด้านบนของบานประตู เขาสำรวจอย่างรอบคอบ
เขาสำรวจอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งแล้วทันใดนั้นมือเขาก็สัมผัสกับเส้นรัศมีเส้นหนึ่งของรูปเคารพ หลังจากที่จับเส้นรัศมีเส้นหนึ่งเขาก็สัมผัสอีกเส้น
สิบนาทีต่อมา ตอนนั้นเองที่เฉินหลงกำลังจะยอมแพ้ เส้นรัศมีที่เขาจับอยู่ก็ส่องแสงขึ้นทันที ท่ามกลางความมืดมิดแสงที่ส่องสว่างนี้ช่างดูแปลกประหลาด
หลังจากมีแสงสว่างเปล่งขึ้น เส้นรัศมีอื่นก็ส่องสว่างไปตามๆกัน ราวกับว่ารับพลังงานต่อกัน
เมื่อแสงสว่างของรูปเคารพสว่างขึ้นทั้งหมด ตรงบริเวณหน้าผากของรูปเคารพก็มีลำแสงส่องออกมา และทันทีที่ลำแสงฉายลงที่พื้นก็มีม่านแสงสว่างความกว้างราวหนึ่งเมตรเปรากฎขึ้นมา
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉินหลงรีบกระโดดลงไปที่ประตูหิน เขายืนข้างๆช่องที่ส่องแสงและมองไปเข้าไปที่ช่องนั้น เขากำลังคิดต่อไปว่าจะเข้าใกล้ไปอีกได้อย่างไร
ในทันทีที่เฉินหลงครุ่นคิดอยู่เขาเห็นว่าแสงจากหน้าผากของรูปเคารพเริ่มมืดลง และช่องส่องแสงก็ขยับแคบลง
เขารู้ว่าแสงนั่นกำลังจะดับไป เขาจึงไม่คิดอะไรให้มากความแล้วยื่นมือออกไป
เมื่อเขาสัมผัสช่องแสง จู่ๆเขาก็โดนแรงดูดดึงเข้าไป
เฉินหลงหมดสติหลังจากที่โดนดึงเข้าไปในช่องแสง และเมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาพบว่าตัวเองอยู่ในวิหารขนาดใหญ่ที่ดูเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์
เฉินหลงมองเวลา โชคดีที่เวลาผ่านไปไม่นาน คือเพียงสองนาทีเท่านั้น
เขาสำรวจร่างกายตัวเองก่อนที่จะเริ่มสำรวจวิหารนี้
ความอลังการของวิหารนี้คือการตกแต่งอย่างงดงามด้วยรูปสลักทองและอัญมณีมีค่า ใจกลางของวิหารมีรูปปั้นที่วิจิตรตั้งอยู่ รูปปั้นนี้เหมือนกับรูปเคารพที่ ชิเมน ทุกประการ เพียงแต่มีมิติมากกว่าและมีความสง่างามอย่างมาก
ทั้งสองด้านของรูปเคารพมีรูปปั้นของสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเป็นสัตว์คุกเข่าอยู่ รูปปั้นแต่ละตัวยกมือขึ้นทำท่าถวายของของบรรณาการแก่เทพเจ้าซึ่งก็มีสิ่งของบางอย่างอยู่ในมือเช่นกัน
เฉินหลงเดินไปมองสิ่งของที่อยู่ในมือพวกนั้น รูปร่างของสิ่งของมีความแตกต่างกันออกไป มีทั้งทรงกลม สามเหลี่ยม มงกุฎ คฑา และแหวน แม้เฉินหลงจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของพวกนี้แต่เขารู้ว่าของพวกนี้เป็นของดี
“จะว่าไป ฉันยังมีแว่นตาวิเคราะห์อยู่ไหมนะ” แล้วเฉินหลงก็นึกขึ้นได้ว่าแว่นตาวิเคราะห์ช่วยเขามามากมายเหลือเกินนับตั้งแต่เริ่มแรก
แต่ตอนนี้เขามีเครื่องมืออยู่สี่สิบแปดชิ้น หากแลกแว่นตาวิเคราะห์มาอีกชิ้นคงไม่พอแน่ๆ เฉินหลงทำได้เพียงแลกแว่นตาวิเคราะห์คุณภาพต่ำมาสิบแปดชิ้นจากระบบ หากแว่นตาพวกนี้ไม่ถูกเขาคงแลกมาไม่ได้มากขนาดนี้
เฉินหลงเริ่มวิเคราะห์สิ่งของต่างๆหลังแลกแว่นตาที่ว่าจากระบบ
“พลังของเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบ ทำให้สามารถควบคุมพลังของเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบได้ ระดับเทวาครึ่งเทพ”
“มงกุฎแห่งชีวิต หากสวมไว้จะมีพลังชีวิตไม่สิ้นสุด และเมื่อสิ้นชีพก็ไม่อาจตายได้ ระดับเทวาครึ่งเทพ”
“วงแหวนมิติ หากสวมไว้จะมีพื้นที่ว่างสามสิบกิโลเมตร ระดับกึ่งอาวุธ”
“โล่ป้องกัน หลังจากที่ใช้ไปแล้วโล่ป้องกันจะสร้างเกราะพลังงานที่เป็นม่านแสงความกว้างหนึ่งเมตร โล่พลังงานนี้จะกันพลังโจมตีระดับ “ปรมาจารย์แห่งดวงดาว” ได้ แต่กันได้เพียงแค่สิบนาที อีกทั้งยังต้องพักการใช้ไปหนึ่งชั่วโมงด้วย เป็น ระดับ “เทวาครึ่งเทพ” ”
........
เฉินหลงใช้แว่นตาวิเคราะห์เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ในมือรูปปั้นทั้งหลาย ทุกอย่างเป็นสมบัติล้ำค่า ในความคิดเฉินหลงเขาพร้อมแล้วที่จะหยิบทุกอย่างไปจากวิหาร
ในตอนแรกเฉินหลงใส่วงแหวนมิติแล้วเขาก็หยิบของกึ่งอาวุธลงไปในมิติช่องว่างของแหวน ทีละชิ้น ต่อจากนั้นเขาก็หยิบรูปสลักทองคำที่งดงามทั้งหมดลงไปในช่องว่างของแหวน ช่องว่างของแหวนใหม่นี้กว้างเพียงพอที่จะใส่ทุกอย่างลงไป
หลังหยิบของจนเกลี้ยงวิหารแล้ว เฉินหลงก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม เขามาตามหาหินแห่งดวงอาทิตย์
ในตอนนั้นเองเฉินหลงเห็นอิฐที่ส่องสว่างบนหน้าผากของรูปปั้น
เฉินหลงไม่คิดอะไรให้มากความ เขาปีนรูปปั้นทันที
ตอนที่กำลังปีนรูปปั้นอยู่นั้น เขากล่าวไปด้วยว่า “อย่าโทษผมนะ อย่าโกรธเลย” จากทุกอย่างที่เขาทำไป อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของคนอื่นอยู่ดี เขาควรทำตัวมีมารยาทหน่อย
0 ความคิดเห็น