TB : ตอนที่ 13 คำพูดและวาจา
ในตอนที่เฉินหลงเห็นจี้โม่ซีกำลังยืนอยู่ข้างนอกบริษัท
เขาเห็นชายวัยสามสิบคนหนึ่งกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆเธอ
แต่เมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของจี้โม่ซีแล้ว
ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการพูดคุยกับผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่นัก
"โม่ซี คุณสัญญาว่าจะไปทานดินเนอร์กับผมนี่
ตราบใดที่ยินดีที่จะร่วมรับประทานอาหารเย็นกับผม
คุณไม่เห็นต้องเป็นกังวลเรื่องเงินเลยนี่"
ชายคนนั้นมองไปที่จี้โม่ซีด้วยสีหน้าที่เหมือนหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ที่ต้องการกินลูกแกะสีขาวที่อ่อนโยน
"คุณจ้าว ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ คือวันนี้ฉันมีนัดแล้ว ฉันจะหาวีธีเรื่องเงินนะคะ
นอกจากนี้เราทั้งสองคนไม่ใช่เพื่อนกัน
รบกวนอย่าเรียกชื่อฉันด้วยความสนิทสนมขนาดนั้น กรุณาเรียกฉันว่า คุณจี้ ด้วยค่ะ"
จี้โม่ซีรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรกับเธออยู่
เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่อยากพูดจาอ้อมค้อมกับเขาอีก
"จี้โม่ซี คุณอย่าทำตัวก้าวร้าวไปหน่อยเลย ผู้หญิงอย่างคุณ
คนอย่างผมจะต้องการคุณสักเท่าไรกันเชียว? หน้าตาอย่างคุณ
อย่ามาพูดจาเราะร้ายกันอย่างนี้สิ ระวังคำพูดคำจาซะบ้างนะ
คุณไม่ควรทำตัวแบบนี้ที่บริษัท" หลังจากถูกจี้โม่ซีปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเขา
จ้าวหงไป๋ก็ได้เผยธาตุแท้ของเขาออกมาให้กระจ่าง
จี้โม่ซีที่ถูกจ้าวหงไป๋กล่าวหาว่าหน้าตาน่าเกลียด
แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธจ้าวหงไป๋ที่รู้สึกไม่พอใจเธอ
ในตอนนี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้นจี้โม่ซีก็ได้ยินเสียงได้โดยธรรมชาติ
“โม่ซี เกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ? มีใครบางคนกำลังยุ่งวุ่นวายกับเธออยู่รึป่าว?”
เฉินหลงเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆจี้โม่ซีแล้วหันไปจ้องตากับจ้าวหงไป๋
"พ่อหนุ่ม
นายอยากจะใช้หัวหอมหรือกระเทียมมาเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามหรอ?ว่าแต่นายจะทำได้ไหมละ?"
จ้าวหงไป๋พูดจาไม่ดีต่อเฉินหลง
"คุณต้องการทำอะไรครับ?" เฉินหลงจ้องไปที่จ้าวหงไป๋ด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อเขาถูกเฉินหลงจ้องอยู่อย่างนั้น
จ้าวหงไป๋ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรู้สึกกลัวอีกฝ่าย
แต่ความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้ถูกเฉินหลงทำให้หายไปในทันที
"หนุ่มน้อย นาย นายกล้ามากนะ นายรอก่อน ฉันจะไปเรียกพี่ชายของฉัน"
จ้าวหงไป๋ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้แล้วหันหลังเดินจากไป
"ถ้าคุณบอกให้ผมรอที่นี่ ผมก็จะรอที่นี่ ผมไม่มีตีสองหน้าหรอกครับ
แต่ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับคุณ ถ้าคุณรู้ว่าหน้าตาของตัวเองเป็นยังไง
คุณควรขอโทษโม่ซีครับ แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าหน้าตาของตัวเองเป็นยังไง
กลางค่ำกลางคืนก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกันนะครับ " เฉินหลงพูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ
จ้าวหงไป๋ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะแล้วก้าวเดินต่อไป
"หืม ความกล้านี้ ศึกษามาเพื่อหิ้วผู้หญิงได้ด้วยแฮะ"
เฉินหลงมองดูจ้าวหงไป๋ด้วยความรังเกียจ
จากนั้นเขาก็หันไปทางจี้โม่ซีแล้วส่งยิ้มให้กับเธอ "โม่ซี เราไปกันเถอะ"
“เฉินหลง จ้าวหงไป๋ เขาพอมีอิทธิพลอยู่บ้างในซิงเฉิงนะ
นี่นายไม่กลัวว่าเขาจะมาแก้แค้นที่นายไปทำให้เขาขัดใจขนาดนั้นเหรอ?” ในรถ
จี้โม่ซีรู้สึกกังวลเกี่ยวกับคำพูดของเฉินหลง
"ตอนนี้ในสังคมของเรามีสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายอยู่นะ ถึงเขาจะเป็นเจ้าแห่งยมโลก
เขาก็คงไม่กล้าหยิบยกกฏหมายของประเทศจีนมาพิจารณาหรอก
เพราะฉะนั้นเธอไม่เห็นต้องกังวลเรื่องของฉันเลยสักนิด"
เฉินหลงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ในอดีต หากไม่มีระบบเถาเป่าที่แข็งแกร่งที่สุด
เฉินหลงก็คงไม่กล้าทำให้จ้าวหงไป๋เคียดแค้นเขาแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยระบบ ขวัญและกำลังใจของเฉินหลงก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่ได้สนใจจ้าวหงไป๋เลยสักนิด
แน่นอนว่าจ้าวหงไป๋เองก็เป็นแค่คนตัวเล็กที่ๆไม่สามารถสร้างคลื่นลมคลื่นพายุได้
"หลบปืนที่จ่อกระบอกมาทางเราน่ะง่าย ที่ยากคือหลบลูกธนูที่ซ่อนอยู่ต่างหากละ
นายก็ควรระวังตัวบ้างนะ" จี้โม่ซีกล่าวเตือนเขา
"เข้าใจแล้ว เธอวางใจเถอะ" เฉินหลงพยักหน้า
"เฉินหลง ขอถามอะไรหน่อยสิ นี่นายซื้อรถคันนี้เหรอ? "
จี้โม่ซีเปลี่ยนประเด็นไปที่รถของเขา
"ใช่ ฉันเพิ่งถอยมันมาใหม่ล่ะ ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ทักฉันซะแล้ว ฉันผิดหวังจริงๆนะ
ถ้าเธอไม่ถามถึงมันน่ะ ฉันก็หมดโอกาสอวดรถกับสาวสวยเลย" เฉินหลงตอบ
“อ๋า ฉันไม่คิดเลยว่าเพื่อนเก่าของฉันจะมีอำนาจจริงๆ พอได้นั่งในรถของนายแล้ว
ฉันรู้สึกเหมือนกับถูกชุดของพวกเผด็จการบังคับให้ฉันบินได้เลยอ่ะ”
จี้โม่ซีเล่นมุกตลก
"ดี พูดได้ดี" เฉินหลงยิ้ม
หลังจากเล่นมุกกันนิดหน่อย
เฉินหลงและจี้โม่ซีรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่กำลังเข้าใกล้กัน
ความรู้สึกแปลกที่พวกเขาไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันมานานหลายปีนั้นได้หายไปในทันที
"นี่ ถู่หาว** ไปกินบาร์บีคิวกันเถอะ ฉันเป็นผู้หญิงที่ต้องทำงาน
ฉันทำได้แค่ชวนนายไปกินข้าวที่นั่นที่เดียวนั่นละ
นายไม่ต้องตั้งใจหาข้ออ้างที่จะไม่ไปหรอกนะ"
จี้โม่ซีพูดถึงสถานที่ที่พวกเขากำลังจะไปกัน
"เพื่อนเก่า นี่เธอเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ? "
เฉินหลงมองไปที่จี้โม่ซีด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
"ฉันแค่ล้อเล่น รีบๆขับเข้าสิ" จี้โม่ซีส่งยิ้มให้กับเฉินหลง
และเฉินหลงเองก็เช่นกัน ในตอนนี้ เพราะสิ่งต่างๆที่อยู่ที่บ้านและความกังวล
ในเวลานี้จี้โม่ซีเพิ่งยิ้มออกมาได้
เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของจี้โม่ซี เฉินหลงเองก็รู้สึกผ่อนคลายเช่นกัน
เมื่อเห็นจี้โม่ซี ดวงตาของเฉินหลงเห็นว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในใจของเธอ
เธอเหมือนถูกบังคับให้ยิ้มออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น
จี้โม่ซีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และเฉินหลงเองก็ไม่มีโอกาสได้ถามเธอ
ตอนนี้จี้โม่ซีหัวเราะออกมาได้แล้ว
ดังนั้นเฉินหลงจึงคิดจะถามเธอตอนที่ได้กินอาหารก็แล้วกัน
เมื่อมาถึงร้านบาร์บีคิวแล้ว
จี้โม่ซีสั่งบาร์บีคิวไปบางอย่างพร้อมกับเบียร์อีกสี่ขวด
"โม่ซี นี่เธอดื่มด้วยเหรอ?" หลังจากเบียร์ได้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
เฉินหลงมองไปที่จี้โม่ซีแล้วถาม
คนที่น่ารักและใสซื่ออย่างจี้โม่ซีดื่มเบียร์เป็น
นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้เฉินหลงรู้สึกตกใจ
ท้ายที่สุดแล้วในหัวของเฉินหลงกลับคิดว่าคนสวยแบบนี้ควรจะจิบไวน์แดงอย่างสง่างามเท่านั้น
"ไม่ได้หรอ?" จี้โม่ซีมองหน้าเฉินหลง
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก แต่มันก็ค่อนข้างที่อันตราย
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องดีที่เธอจะดื่มมันละนะ
มีคนชวนฉันมาดื่มเป็นเพื่อนนี่นา” เฉินหลงยิ้ม
"เฉินหลง ฉันได้ยินมาว่านายไม่ได้ทำงานที่บริษัทโฆษณาแล้ว
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละ? อืม จริงอยู่ที่นายมีเงิน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว
แต่ฉันก็อยากรู้เหตุผลอยู่ดีว่าทำไม?" จี้โม่ซีถาม
"ก็แค่โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันไปเห็นเจ้านายกับเลขานุกำลังทำกิจกรรมเข้า
ฉันก็เลยถูกไล่ออกน่ะ" เฉินหลงยักไหล่แล้วตอบเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงถูกไล่ออก
“ฮ่าฮ่า นายไปเห็นเรื่องอย่างว่าเข้า โชคของนายนี่ดีจริงๆ” จี้โม่ซีหัวเราะเบา ๆ
"ไม่เอาน่า อย่าพูดอย่างนั้นสิ" เฉินหลงกรอกตา "แล้วงานของเธอเป็นยังไงบ้าง?
ทุกอย่างราบลื่นดีใช่ไหม?”
เมื่อเฉินหลงพูดจบ เจ้าของร้านก็ได้นำบาร์บีคิวร้อนๆมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
"ก็โอเค พออยู่ได้นั่นแหละ" จี้โม่ซีหยิบขึ้นมาไม้หนึ่งแล้วกัด
“ไม่เป็นไรแต่ก็ไม่ได้แย่อยู่ดี ยังไงซะ
พวกผู้หญิงก็ต้องพึ่งสามีของเธอในอนาคตอยู่แล้ว ถ้าเขาทำงานเก่ง ก็คงจะดีไม่น้อย”
เฉินหลงหยิบไปไม้หนึ่งในเวลาเดียวกัน
“ขึ้นอยู่กับสามีของฉันคืออะไร? ในอนาคตฉันจะไม่หวังพึ่งพวกผู้ชายหรอก
ฉันคิดว่าผู้หญิงเองก็ยังมีงานของเธอ พอตอนที่พวกเราแก่หรืออ่อนแอ
พวกผู้ชายก็จะทิ้งขว้าง รู้สึกอนาถชะมัด แต่ก็ช่างมัน มานี่มา ชนแก้ว!"
จี้โม่ซีกล่าวพร้อมกับรินเบียร์ลงในแก้วของเขา
"จัดไปอย่าให้เสีย!" เฉินหลงและจี้โม้ซีก็ได้ชนแก้วกัน
จากนั้นคนทั้งสองก็ได้กระดกเบียร์เข้าไปจนหมดแก้วในคราเดียว
หลังจากนั้น
เฉินหลงและเพื่อนสาวของเขาก็พูดถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรงเรียนในขณะที่พวกเขากำลังดื่มเบียร์ด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น เด็กอ้วนที่มีความสุขมากในชั้นเรียน
แต่ในตอนนี้เขาได้ประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เขากลายเป็นคนหล่อที่พูดน้อย
สาวน้อยน่ารักที่ในตอนนี้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวแสนสวยมีรายได้มากกว่า 10,000
หยวนต่อเดือน
-----------------------------------------------------------------------------
เสริม
*ชื่อตอน catching flies มาจากสำนวน “Honey catches more flies than
vinegar” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “น้ำผึ้งจับแมลงวันได้ดีกว่าน้ำส้มสายชู”
น้ำผึ้งเป็นสัญญลักษณ์ของการพูดดี พูดจาหวานไพเราะ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ
“น้ำส้มสายชู” หรือ Vinegar มีรสเปรี้ยว มีความเป็นกรด
จึงทำให้ไม่มีแมลงวันมาเกาะจึงเปรียบได้เหมือนคนพูดจาและมีกิริยาท่าทางที่กระด้าง
ทำให้ไม่มีผู้คนอยากพูดหรือคบค้าด้วย คิดว่า catching flies ตั้งเป็น
คำพูดและวาจา น่าจะเข้ากว่าจับแมลงวันกว่า
**土豪[tǔ háo]อ่านว่า[ถู่
หาว]แปลว่าพวกคนรวยที่ชอบซื้อของไร้สาระแต่ราคาแพงเพื่ออวดว่าตัวเองรวยแล้ว
แต่ในสายตาของคนอื่นกลับรู้สึกว่าพฤติกรรมของคนรวยเหล่านี้ตลกมากและเชยมากด้วย
0 ความคิดเห็น