RC:บทที่ 84 ลาก่อน นายท่าน
เสื้อผ้าของหลินเฟิงฉีกขาดตั้งแต่ต้นแขน สุดท้ายเสื้อผ้าของเขาก็ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่สมบูรณ์แบบของเขา
เมื่อเห็นอย่างนี้หว่อหยู ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากหลินเฟิงได้ ดังนั้นเขาจึงต้องยกกำปั้นของเขาขึ้นมาไขว้กันไว้ที่หน้าอกเพื่อป้องกันหมัดของหลินเฟิง
ป๊าบ!
เสียงกำปั้นหลินเฟิง กระแทกโดนแขนที่ไขว้กัน!ของหว่อหยู แม้ว่าเขาจะใช้แขนทั้งสองข้างเพื่อผ่อนพลังของกำปั้น แต่เขาก็ยังถูกกระแทกจนหงายหลังด้วยกำปั้นของหลินเฟิง
ในเวลานี้หว่อหยูรู้สึกว่าเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับใครที่ไหน แต่เป็นสัตว์ร้าย พลังอันมหาศาลและอุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
หว่อหยูถูกซัดกระเด็นด้วยหมัดและลอยไปมากกว่าสิบเมตร เขายังกระเด็นไปบนพื้นดินไปอีกไกล
พอเขาหยุดแล้วก็มีเลือดกระอักออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ เขามีพลังอยู่ในระดับ B สูงสุด แต่โดนเล่นงานอย่างหนักจากหน้าใหม่ที่มีพลังระดับ C
ในทางกลับกันเสี่ยวเฮ่ยและผึ้งเพชฌฆาตกำลังจัดการกับค้างคาวผีเงาเลือด
เนื่องจากพลังของค้างคาวผีเงาสีเลือดนั้นเข็มแข็งเกินไป เสี่ยวเฮ่ยและผึ้งเพชฌฆาตจึงไม่ใช่คู่แข่ง
แต่ในเวลานี้ค้างคาวผีเงาเลือดพบว่าหลินเฟิงซัดหว่อหยูออกไปด้วยกำปั้น จึงได้ยุติการต่อสู้กับเสี่ยวเฮ่ยและผึ้งเพขฌฆาตทันที แต่ก็บินกลับไปอยู่เคียงข้างหว่อหยู
หลังจากการระเบิดครั้งนี้ร่างกายทั้งหมดของหลินเฟิงมีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ ร่างกายของเขาเปล่งแสงสีแดงกระพริบและดับไป
เสี่ยวเฮ่ยเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบวิ่งกลับไปคาบหลินเฟิงไว้ในปากของมัน ในขณะที่ผึ้งเพชฌฆาตก็เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
“โธ่โว้ย ฉันไม่น่าประมาท ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ในทันที” หว่อหยูยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวดและพูด
หว่อหยูเจอกับการระเบิดครั้งใหญ่ หน้าอกของเขาเป็นหลุมลงไปและซี่โครงหักสองซี่ เขายังยืนขึ้นได้
"ตามให้ทัน เด็กคนนี้มีของดีอยู่กับตัว มันอาจเป็นโอกาสที่ฉันจะได้ก้าวเข้าสู่พลังระดับ A อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!"
หว่อหยูกระโดดขึ้นไปบนร่างของค้างคาวผีเงาเลือดและไล่ตามหลินเฟิงไปในทิศทางที่จะหลบหนี
เสี่ยวเฮ่ยและผึ้งเพชฌฆาตนั้นเคลื่อนที่เร็วพอตัว แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของค้างคาวผีเงาเลือดแล้ว พวกมันว่องไวได้ไม่ถึงครึ่ง
แบะมันก็ถูกตามทัน
"ฮ่าฮ่า แกอยู่ในอาการโคม่า ฉันอยากเห็นว่าแกกำลังจะไปที่ไหน ค้างคาวผีเงาเลือดไล่ตามไปให้ได้!" หว่อหยูสั่ง
จี๊ดๆๆ!
จะเห็นว่าค้างคาวผีเงาเลือดส่งเสียงร้องสองครั้ง แล้วก็เร่งความเร็วขึ้นมากในทันที จนเห็นได้ว่าจะตามทันเสี่ยวเฮ่ยอยู่แล้ว
โฮ่ววว!
เสี่ยวเฮ่ยคำราม หันขวับ แล้ววิ่งไปทางป่าที่อยู่บนเทือกเขา
ในเวลาเดียวกันนั่น ผึ้งเพชฌฆาตก็ส่งเสียงหึ่งแปลก ๆ และภูเขาก็ตอบสนองต่อเสียงของมัน
"อ่า ในที่สุดฉันก็ตามแกทัน ดูซิว่าแกจะไปไหนได้ คราวนี้ฉันจะไม่ให้แกได้มีโอกาสอีก!" ท้ายที่สุด หลังจากเข้าไปในป่าได้ซักพัก เสี่ยวเฮ่ยและพวกก็ถูกตามทัน
"ลมพายุ!"
หว่อหยู เอ่ยขึ้น เขาควบคุมลมกรดที่หมุนวนด้วยสีหน้าเงียบสงบ เกิดเป็นใบพายุขนาดใหญ่ที่กั้นขวางป่าที่อยู่บนยอดเขาออกไป
นี่คือทักษะการต่อสู้ของหว่อหยู เป็นการโจมตีด้วยลมพายุ
ความเร็วของพายุเร็วเกินไป มันสายเกินไปที่เสี่ยวเฮ่ยและผึ้งเพชฌฆาตจะหลบทัน พวกมันทำได้แค่เผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
พอเสี่ยวเฮ่ยพยายามจะหลบเลี่ยง พายุนั่นก็ดูเหมือนว่าจะมีดวงตามันติดตามไปทถกที่
โฮ่วววว! ได้ยินเพียงแต่เสียงคำรามของเสี่ยวเฮ่ยเท่านั้น พายุนั่นเหวี่ยงหลินเฟิงที่อยู่บนหลังอันกว้างของเสี่ยวเฮ่ยออกไป จากนั้นเสี่ยวเฮ่ยก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเฮ่ยปล่อยเพียงเปลวไฟสีดำออกมาจากทั้งร่าง มารวมกันอยู่ในปากของมัน และบีบอัดเป็นลูกไฟสีดำขนาดใหญ่
ในขณะเดียวกันผึ้งเพชฌฆาตก็หันกลับมาลอยอยู่ในอากาศและปีกของมันก็สั่นสะเทือนอย่างสม่ำเสมอทำให้เสียงดังลั่น
ที่ก้นของมันมีแสงสีม่วงบรรจบกันและสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนกับลูกไฟสีดำขนาดเล็กในตอนกลางคืน
ในที่สุดตอนนี้ พายุของหว่อหยูก็มาถึงและปะทะเสี่ยวเฮ่ยเข้าจังๆ
โฮ่วววว!
พร้อมกับส่งเสียงคำราม เสี่ยวเฮ่ยปล่อยลูกไฟขนาดมหึมา นอกจากนี้ผึ้งเพชฌฆาตที่บินอยู่ในอากาศก็ปล่อยเข็มยาวสีม่วงที่ก้นออกมา
ในที่สุดการโจมตีของทั้งสามก็ปะทะกันและจู่ๆ ก็ระเบิดพลังงานขนาดใหญ่ซึ่งทำให้ผึ้งเพชฌฆาตและเสี่ยวเฮ่ย กระเด็นไปคนละทิศละทาง
หว่อหยูและค้างคาวผีเงาเลือดอันเป็นที่รักของเขาเจ็บปวดไม่น้อย พวกมันต้องถอยออกมาเกินกว่าสิบเมตร พวกมันทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่จะพูดว่า พลังของหลินเฟิงยังไม่แข็งแกร่งพอ และยังขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้นการบาดเจ็บจึงก่อให้เกิดอาการสาหัส
แต่การระเบิดก็ไม่ได้แย่ไปซะหมดเช่นกัน เพราะความรุนแรงของแรงระเบิดรุนทำให้พวกเขามองเห็นได้จากระยะไกลเท่านั้น
หึ่ง!
ในเวลานี้ มีเสียงหึ่งๆ มากมายมาจากทุกทิศทางราวกับว่าพวกผึ้งอยู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
"เอ๊ะ? เสียงอะไร?" หว่อหยู รู้สึกถึงความผิดปกติในตอนนี้
เมื่อเขาเห็นได้ชัดเจนหนังศีรษะของเขาก็ชาเพราะผึ้งป่านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
"เสี่ยวเฮ่ย เจ้าพานายท่านไปก่อน แล้วข้าจะขวางพวกเขาไว้!" เสียงของผึ้งเพชฌฆาตนั้นแน่วแน่อย่างมาก
"แต่!"
"อย่าลังเล ไปเถอะ! หึ่งงงง!" ผึ้งเพชฌฆาตบอก มันควบคุมผึ้งป่านับไม่ถ้วนเพื่อโจมตีพวกหว่อหยู
โฮ่วววว!
เสียงคำรามที่ไม่เต็มใจของเสี่ยวเฮ่ย นั้นเหมือนกับการกล่าวคำอำลากับผึ้งเพขฌฆาต มันเต็มไปด้วยความขมขื่นและจากนั้นมันก็พาหลินเฟิงออกไป
"โธ่โว้ย อย่าปล่อยมันไป!" หว่อหยูเห็นเสี่ยวเฮ่ยหนีไปกับหลินเฟิง ทันทีที่เขาต้องการไล่ตามเขาก็ถูกล้อมรอบด้วยผึ้งป่านับไม่ถ้วน
มีอาณานิคมผึ้งป่าเหล่านี้นับล้าน พวกเขาทั้งหมดรีบไปที่หว่อหยูและต่อย หว่อหยูกรีดร้องทันที
“บ้าเอ้ย แกคิดว่านี่จะหยุดฉันได้เหรอ? ค้างคาวผีเงาเลือด อัลตราโซนิกแห่งความตาย!” คราวนี้หว่อหยูตะโกนด้วยความโกรธ
"ความสามารถพิเศษอย่างที่สอง?" ผึ้งเพชฌฆาตตกใจมาก
เห็นเพียงค้างคาวผีเงาเลือดลอยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับปากที่ขยายโต และส่งคลื่นเสียงสีแดงที่มองไม่เห็นกระจายออกไปทันที
คลื่นเสียงนั้นเป็นเหมือนคลื่นที่วนเป็นวงกลม เมื่อมันผ่านไปผึ้งป่าก็จะร่วงตกลงมาราวกับสายฝน
ผึ้งเพชฌฆาตก็ไม่จะสามารถต่อต้านได้ มันร่วงตกลงบนพื้นในพริบตา และก่อนที่มันจะบินได้อีกครั้งก็ถูกจับโดยกรงเล็บทั้งสองของค้างคาวผีเงาสีเลือด
มองเห็นค้างคาวผีเงาสีเลือดอ้าปากกว้าง ที่มีฟันแหลมคมสี่ซี่ แทงทะลุร่างของผึ้งเพชฌฆาตทันทีจากนั้นก็ดูดเลือดจนเหือดแห้งและแกว่งไปมา
ดวงตาขนาดใหญ่สองตาของผึ้งเพชฌฆาต ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ
"ลาก่อนนายท่าน ... "
ผึ้งเพชฌฆาตหายไปในโลก
เมื่อมันเงียบทั้งหมดพื้นดินเต็มไปด้วยผึ้งป่า มันเหมือนกับการกางผ้าห่มผึ้งคลุมที่นี่
"โอ้ย!.. เวรเอ้ย ปวดชะมัด" หว่อหยูพูด แต่เสียงของเขาอู่อี้
หลังจากมองดูแล้วก็พบว่าใบหน้าของ หว่อ หยู นั้นบวมเหมือนหมูและเนื้อของเขาสั่นระริกขณะที่เขาพูด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกผึ้งต่อยหลายตัว
" ค้างคาวผีเงาเลือด เจ้าสามารถสัมผัสทิศทางการหลบหนีของพวกมันได้หรือไม่?" ใบหน้าสีแดงและบวมของหว่อหยูพูดติดอ่าง
"นายท่าน พวกเขาอยู่ไกลไม่สามารถรู้สึกได้!" ค้างคาวผีเงาเลือดกล่าว
"อุ๊ย บัดซบ! ถอย กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อน!" หว่อหยูโกรธมากจนเขาดุและดึงเนื้อบนใบหน้าของเขา
หลินเฟิงและพวกหนีไป หว่อหยูไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปก่อน
0 ความคิดเห็น