TB:บทที่ 159 หว่านซูจื่อ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 159 หว่านซูจื่อ


เฉินหลงมองซ่งเจิ้งและไม่กล่าวอะไร จากนั้นเขาบอกให้พูดต่อ


“เช่นนั้น แม้งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะศิลปะการต่อสู้จะฟังแล้วเหมือนงานแลกเปลี่ยนทักษะกัน ทว่าจริงๆแล้วเป็นการท้าทายประเทศจีนจากประเทศอื่นครับ” ซ่งเจิ้งว่าต่อ 


“เดี๋ยวก่อนนะ เพราะเป็นการท้าทายประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ของเราจากประเทศอื่น ถึงปกติแล้วจะเป็นเรื่องของทั้งชาติจีนที่เกรียงไกร จีน ที่มีเสือหมอบ มีมังกรที่ซ่อนเร้นไว้ และมีผู้มีความสามารถมากมาย แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ฉันคงช่วยไม่ได้” เฉินหลงขัดซ่งเจิ้ง


เฉินหลงพูดถูกแล้ว ด้วยพลังของไป๋ชิงเหวินและหลินหยู่ที่มีความชั่วร้าย อย่างไรเสียพลังที่มีความชั่วร้ายเช่นนั้นถูกผลักดันให้ออกจากดินแดนแห่งสรวงสรรค์ไป จึงเป็นเรื่องที่นึกออกได้ว่าหวังฮงทำเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ตราบใดที่หนทางถูกต้องแล้วก็ส่งคนบางคนออกไปได้ และพวกนักสู้ต่างชาติพวกนั้นจะกระโดดหลบก็ไม่ได้ 


“ยังมีกฎแลกเปลี่ยนของการชุมนุมอยู่ว่าต้องเป็นนักสู้รุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้นจึงจะร่วมการชุมนุมนี้ได้ หากปิดบังอายุแล้วจะไม่ผ่านคุณสมบัติ ดังนั้นคุณเฉินเราเลยหวังให้คุณร่วมกับเราด้วย เพื่อให้พวกเรามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมที่จะชนะ” ซ่งเจิ้งว่าอย่างจริงจัง 


“ผมต้องขอโทษด้วย ผมคงไม่เข้าร่วม ขอโทษทีนะแต่คงช่วยคุณไม่ได้” เฉินหลงยังคงปฏิเสธ


“เช่นนั้น หากคุณเฉินไม่ต้องการจะเข้าร่วม ผมจะไม่บังคับอะไร เพราะสุดท้ายแล้วคุณเฉินก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบที่ต้องมาเข้าร่วมงานชุมนุมนี่ แต่ถึงคุณจะปฏิเสธก็ตาม ผมจะให้บัตรเชิญนี่ไว้กับคุณอยู่ดี และถ้าคุณอยากจะมาก็ลองมาได้ พวกเราจะต้อนรับคุณอย่างอบอุ่น” สิ้นคำพูดนั้นซ่งเจิ้งได้มอบบัตรเชิญสีแดงให้เฉินหลง 


และหลังจากส่งมอบแล้ว ซ่งเจิ้งก็จากไป


เฉินหลงมองบัตรเชิญในมือของเขา แล้วเขาจึงครุ่นคิดและตัดสินใจว่าเขาจะไปร่วมงาน แต่ไม่ใช่ด้วยใบหน้านี่ เขาจะใช้ “หน้ากากพันหน้า” เพื่อเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้อื่นแล้วจึงเข้าร่วมงาน


เฉินหลงดูเวลาบนบัตรเชิญที่บอกเขาว่างานนี้จะจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นตอนเก้าโมง สถานที่คือโรงยิมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง


ยังมีเวลาเหลืออีกวันหนึ่ง เฉินหลงต้องการเตรียมตัวให้ดี เขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะในวันพรุ่งนี้เพือเปิดหูเปิดตาดูว่าคนต่างชาติจะมีรูปแบบการต่อสู้แบบใด 


จากนั้นเฉินหลงคิดเกี่ยวกับตัวตนที่เขาจะใช้เข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยน


ไม่นานหลังเขาครุ่นคิด เฉินหลงนึกถึงหนังสือการ์ตูนที่เขาเคยเห็นมาก่อน ในหนังสือการ์ตูนดังกล่าวตัวละครจะใช้กระบองคู่และสกิล “ระฆังทอง” ที่ทรงพลังมากเหลือเกิน 


เฉินหลงคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเข้าระบบอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เฉินหลงเข้าไปร้านของหว่านซูจื่อ ผู้ขายที่มาจากโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ คราวก่อนเฉินหลงเห็นสกิล “ระฆังทอง” ในร้านของหว่านซูจื่อ แต่ตอนนั้นเป็นเพียงช่วงเดียวที่“ระฆังทอง”จะใช้ศึกษาได้ อีกทั้งสกิลยังต้องอาศัยพลังระดับปรมาจารย์ ในตอนนั้นเฉินหลงยังมีพลังไม่ถึง 


แต่ครั้งนี้เฉินหลงมีพลังเพียงพอแล้ว โดยธรรมชาติของเขาเฉินหลง เขาไม่พลาดจะแลกเปลี่ยนมา หากได้พึ่งพาสกิลนี้พลังป้องกันของเฉินหลงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และเขาจะได้ข้อได้เปรียบบางอย่างเพื่อจัดการกับหนทางปิศาจอีกด้วย 


สกิล“ระฆังทอง”นี้ต้องใช้แต้มแลกเปลี่ยนห้าพันแต้ม หลังจากแลกเปลี่ยน“ระฆังทอง”แล้วเฉินหลงยังคงดูของในร้านของหว่านซูจื่อไปเรื่อยๆ เขาพบว่ามีสกิลลับมากมายในร้านนี้ อีกทั้งยังมีสกิลที่ต้องถึงระดับกำเนิดจึงจะศึกษาได้อยู่ 


เฉินหลงมีความโลภมาก และเขารู้สึกสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับตัวของหว่านซูจื่อ เขาเป็นคนที่เฉินหลงต้องการเห็นหน้าเป็นที่สุด 


ด้วยความคิดนั้นเฉินหลงจึงคิดจะลองดู เขาทิ้งข้อความไว้ให้หว่านซูจื่อ ข้อความที่บอกว่าเขามีความลับของศิลปะป้องกันตัวมากมายเหลือเกินในร้านนี้ และเขาต้องการจะพบเจอเพื่อให้รู้ว่าเจ้าของร้านเป็นคนแบบไหน 


ตอนแรกเฉินหลงคิดแค่ว่าได้ลอง และหลังจากทิ้งข้อความไว้เฉินหลงจึงพร้อมออกจากระบบเพื่อจะฝึกซ้อม “ระฆังทอง” 


แต่แล้วในตอนนั้นเองที่เขากำลังออกจากระบบ การเตือนของระบบได้บอกเขาว่ามีการตอบกลับ เฉินหลงจึงทำได้เพียงกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง 


หลังจากเข้าระบบแล้ว เขาได้รับคำขอติดต่อวิดีโอเสมือนจากหว่านซูจื่อ


เฉินหลงต้องการจะรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่จึงกดตอบรับในทันที


และเมื่อได้เห็นภาพเสมือนของหว่านซูจื่อ เฉินหลงอึ้งไปครู่หนึ่ง


เฉินหลงเห็นผู้ขายในระบบมามากมาย ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักร กึ่งเครื่องจักร มีรูปร่างเป็นเปลวเพลิง มีความสวยงามแบบหาใครเทียบเคียงไม่ได้ และมี “กระบองคู่” อยู่คู่หนึ่ง แบบอาจารย์เขา เทียนซิงจื่อ และแม้หากเขามีรูปร่างคล้ายตัวเขาเองก็ตาม แต่เฉินหลงเห็นความต่างระหว่างตัวเขาเองและชนชาติของเขา ที่เฉินหลงนิ่งอึ้งไปเนื่องจากภาพลักษณ์ของหว่านซูจื่อเป็นเหมือนคนจีน เพียงแต่เสื้อผ้าหน้าผมเป็นแบบตัวละครนักรบโบราณ


เช่นเดียวกันนั้นหว่านซูจื่อก็อึ้งไปด้วยตอนที่เขาเห็นรูปลักษณ์เฉินหลง เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์เหมือนกับเขา 


หลังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้ว เฉินหลงเป็นฝ่ายเปิดปากพูด “คุณหว่านซูจื่อ ผมอยากจะถามสักหน่อยครับ ว่านี่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคุณใช่ไหม”


“นายละ” หว่านซูจื่อไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามคำถามตอบไป 


เมื่อได้ยินคำถามของหว่านซูจื่อ เฉินหลงเริ่มขำออกมาเพราะเขารู้คำตอบ 


หว่านซูจื่อหัวเราะออกมาเช่นกัน 


จากภาพเสมือนทำให้ระยะห่างของพวกเขาสองคนเกือบกลายเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน แต่ทั้งคู่อยู่บนสองโลกที่ต่างกัน อย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นในทันใด 


ความรู้สึกนี้คล้ายกับว่าเป็นคนจากประเทศเดียวกัน เป็นความรู้สึกแบบคนจากหมู่บ้านเดียวกันจะมีความลึกซึ้งกันมากกว่าคนอื่นในโลก คนที่มาจากประเทศเดียวกันควรจะรู้สึกใกล้ชิดกันสิ


ระบบเถาเปาอันทรงพลังนี้เป็นเหมือนโลกใบหนึ่ง ที่ยากมากหากคุณอยากจะเจอคนเชื้อชาติเดียวกัน นั่นเป็นเพราะว่ามีเพียงหนึ่งบัญชีผู้ใช้ต่อหนึ่งดาวเคราะห์หรือหนึ่งกาแล็กซี่เท่านั้น


ดังนั้นแล้วเฉินหลงและหว่านซูจื่อที่เป็นคนสองคนที่คล้ายกับเป็นชนชาติเดียวกันจึงรู้สึกถึงความใกล้ชิดเมื่อได้เจอหน้ากันและกัน 


หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มคุยกัน 


จากคำของหว่านซูจื่อเฉินหลงรู้ว่าบัญชีผู้ใช้ของเขามาได้อย่างไร บัญชีนี้ได้มาด้วยสายฟ้า เมื่อตอนที่เขาสู้กับคนอื่นตอนฝนตก และเขาโดนฟ้าผ่า คุณสมบัติของหว่านซูจื่อจึงเปลี่ยนแปลงจากระดับกลางเป็นระดับไม่มีใครเทียมทานได้ และด้วยความช่วยเหลือจากระบบ พลังของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมีความลับของศิลปะป้องกันตัวมากและมากขึ้น ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของระบบมาได้ร้อยกว่าปีแล้ว และพลังของเขาเป็นระดับ “ปรมาจารย์แห่งดวงดาว”


บางทีการไร้เทียมทานอาจเป็นเรื่องเหงางอย หว่านซูจื่อพูดไม่จบเสียที เฉินหลงอาจเข้าใจสถานการณ์ของโลกเขาแล้ว ดาวเคราะห์ของหว่านซูจื่อใหญ่กว่าโลกเป็นสิบๆเท่า ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มก็มีความหนากว่าโลกมากมายนัก ดังนั้นแล้วคนธรรมดาบนดาวนั้นสามารถไปถึงขั้น “ชั้นสูง” ได้ตั้งแต่เกิดมา ในตอนที่โตขึ้นมาหากไม่ฝึกฝนอะไรเลยพลังจะค่อยๆพัฒนาไปหลังเป็นผู้ใหญ่แล้วโดยมากพลังจะเป็นขั้นชั้นสูงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ


และหากฝึกตั้งแต่เด็กแล้ว จะไปได้ถึงระดับกำเนิดตั้งแต่อายุสิบสองปีพร้อมกับสมรรถภาพที่ดี และเมื่อไปถึงขั้นกำเนิดตอนอายุสิบแปดปีแล้วหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทันทีตอนอายุยี่สิบปีก็จะไม่มีการพัฒนาไปอีกขั้นแล้วในชีวิต เว้นเสียแต่ว่าจะมีขุมพลังลับหรือเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพไป


ที่โลกของหว่านซูจื่อมีเผ่าพันธุ์อยู่สี่เผ่า นั่นคือ คนจีน คนเถื่อน ออร์ค และมังกร ภายในสี่เผ่านี้คนจีนเป็นพวกที่ทรงพลังที่สุด ตามมาด้วยมังกรสี่ขาและชนเผ่าคนเถื่อนในตะวันตก และพวกออร์คที่อาศัยในทุ่งหญ้า หว่านซูจื่อเป็นคนจีน


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น