TB:บทที่ 144 ลูกศิษย์

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 144 ลูกศิษย์


เห็นสีหน้าที่กลังบอกให้เขารู้ว่า "ถ้าคุณไม่ให้เราคุกเข่า เราก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งวันเลยคอยดู" เฉินหลงจึงทำแค่ปล่อยให้พวกเขาได้คุกเข่า


หลังจากที่พวกเขาได้นั่งคุกเข่าดั่งสมใจอยากแล้ว พวกเขาก็โข้วโถว*ให้เฉินหลงสามครั้ง


ตั้งแต่ที่เฉินหลงได้รับของขวัญมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่รับมันมาจริงๆ


หลังจากได้โข้วโถวให้เฉินหลงสามครั้ง หวังหูและน้องสาวก็ลุกขึ้นยืน เป็นหวังหูที่หันไปพูดกับเฉินหลงอย่างจริงจังว่า "บอสครับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หวังหูคนนี้ขอเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดของคุณครับ จากนี้ไป ไม่ว่าคุณต้องการให้หวังหูทำอะไร หวังหูยินดีทำให้คุณไปชั่วชีวิตเลยครับ!"


ตอนนี้ หวังหูยินดีที่จะเป็นลูกน้องของเฉินหลงเต็มตัวแล้ว


“พี่หลง ถึงฉันจะไม่มีความสามารถเท่ากับพี่ชาย แต่ฉันทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยนะคะ ถ้ามีงานบ้านอะไรให้ฉันทำ พี่บอกฉันมาได้เลยนะคะ ฉันทำได้ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยค่ะ” หวังเฟิงพูดตามพี่ชายมาติดๆ


"โอเคๆ จากนี้ไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ" เฉินหลงพยักหน้าตอบ


ในวันที่สามหลังจากกลับมาถึงปักกิ่ง ฮัวหมิงเหรินได้มาหาเขาถึงหน้าประตูบ้าน


"อาจารย์! นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าคุณลืมเรื่องที่จะรับผมเป็นศิษย์ไปแล้วรึยังครับ?" ฮัวหมิงเหรินเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ขมขื่นในตอนที่เขาได้พบหน้าเฉินหลง


"หือ ฉันจะไปลืมได้ยังไงล่ะ? ฉันแค่คิดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะเริ่มเรียน ตอนแรกฉันคิดว่าจะรับสอนคุณสักวัน แต่ในเมื่อตอนนี้คุณก็มาหาฉันถึงที่แล้ว ถ้างั้นเราไปกันวันนี้เลยก็ได้ ว่าแต่ว่า เราจะไปที่เรียนที่ไหนกันดีล่ะ นายมีสถานที่แนะนำฉันไหม?" เฉินหลงตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


ว่ากันตามตรง ถ้าวันนี้ฮัวหมิงเหรินไม่มาหาเขาถึงที่ เฉินหลงคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ฮัวหมิงเหรินหาเขาเจอแล้ว อย่างน้อยพาเขาไปวันนี้เลยดีกว่าผลัดวันประกันพรุ่ง เขาจะพาอีกฝ่ายไปวันนี้เลยก่อนที่ตัวเองจะลืมเรื่องนี้อีกรอบ


เมื่อได้ยินว่าวันนี้ เฉินหลงยินดียอมรับเขาแล้ว ทันได้นั้นฮัวหมิงเรนได้ระบายยิ้มออกมาแล้วหันไปตอบเฉินหลงว่า "อาจารย์! วันนี้คุณจะรับผมเป็นลูกศิษย์จริงๆใช่ไหมครับ? เยส! ศิษย์คนนี้จะรีบไปจองสถานที่และเตรียมพิธีทำความเคารพอาจารย์ให้คุณเองครับ!"


เฉินหลงพยักหน้าตอบ


ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วต่อสายหาใครบางคน


เฉินหลงหยุดฮัวหมิงเหรินเอาไว้อีกครั้ง ถ้าทำได้ นายอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็ยุ่งยากเลยนะ แค่มีพิธีเคารพอาจารย์อย่างเดียวก็พอแล้ว"


ในฐานะที่เป็นคนง่ายๆและไม่ชอบความวุ่นวาย เฉินหลงไม่ต้องการให้ฮัวหมิงเหรินโทรเรียกเพื่อนมาดูพิธีของเขาสักหน่อย เขาเกรงว่าคนอื่นจะคิดว่าตัวเองกำลังดูละครลิงอยู่มากกว่านะสิ


"รับทราบครับ! อาจารย์!" ฮัวหมิงเหรินพยักหน้ารับโดยเร็ว


ตอนแรก ฮัวหมิงเหรินอยากเรียกพวกพ้องมาร่วมงานด้วยทุกคน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เขาจึงได้แต่ทำตามคำขอของอีกฝ่ายเท่านั้น


ไม่นาน ฮัวหมิงเหรินได้จองห้องที่ร้านอาหาร ‘ไชน่าทาวเวอร์’ จากนั้นขับรถพาเฉินหลงไปยังที่หมายในทันที


ที่ฮัวหมิงเหรินเลือกตึกจงหัว เป็นเพราะที่นั่นมีโบราณวัตถุหลายอย่าง ตั้งแต่ของประดับไปจนถึงของตกแต่งและของใช้ มันเป็นสถานที่ที่เหมาะกับพิธีโบราณแบบนี้มาก


นอกจากนี้ตึกจงหัวที่ฮัวหมิงเหรินเป็นคนเลือกเองกับมือยังทำให้เฉินหลงพบปะกับคนรู้จักโดยบังเอิญเสียด้วย


"หลินจื่อ ฉันได้ยินมาว่าเฟอรารี่ 458 ของนายถูกทุบ ใช่ไหม?"


ในห้องห้องหนึ่งของตึกจงหัว ชายหญิงหกถึงเจ็ดคนกำลังทานอาหารและพูดคุยกันอยู่เท่านั้น หนึ่งในนั้นคือฟางเต๋าหลิน ครั้งล่าสุดเขาถูกเฉินหลงทุบ ส่วนชายที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกมา เขาอายุ 25 ปี สวมชุดแนวฮิปฮอป


เมื่อได้ยินคำถามของชายคนนั้นแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของฟางเต๋าหลินก็ดูไม่น่ามองขึ้นมาในทันที  ครั้งล่าสุดที่รถของเขาถูกทุบไป เขาพยายามสุดความสามารถที่จะลืมเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่ที่เขาเกิดมาเลย แต่ก็ยังมีคนบางคนดันลื้อฟิ้นมันขึ้นมาให้เขาเจ็บใจเล่นอีกรอบ พูดแบบนี้หมายความว่าอยากมีเรื่องกับผมใช่ไหมครับ


"ลู่เฟิง ทำไมนายถึงหยิบมันขึ้นมาพูดล่ะ? มันจะต้องมีสาเหตุที่ทำให้รถของหลินจื่อถูกทุบแบบนั้นสิ ส่วนคนที่ทุบรถเขาต้องจบไม่สวยแน่ ใช่ป่ะ มู่จือ?" คนที่มีอายุ 25 ปีเท่ากัน สวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังและแว่นตาอามานี่ หันไปพูดกับชายที่สวมชุดฮิปฮอป การแต่งตัวของคนๆนี้ ดูจากปากซอยก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีรสนิยมคนหนึ่ง


สิ่งที่ชายคนนั้นพูด ฟังดูเหมือนเขากำลังพูดถึงฟางเต๋าหลินอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังยั่วโมโหอีกฝ่ายอยู่


"ลู่เฟิง ต้วนหนาน เราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน แต่พวกนายไม่จำเป็นต้องมาโชว์โง่ต่อหน้าคุณเตหลีกับคุณลี่แบบนี้ก็ได้นะ" ในเวลาเดียวกัน ชายคนหนึ่งที่นั่งข้างๆฟางเต๋าหลินมองไปที่ชายที่สวมชุดฮิปฮอป ลู่เฟิง กับชายที่สวมแว่นตา ต้วนหนาน


ชายคนนี้ไม่เข้าใจว่าที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา เป็นเพราะเขาต้องการพูดกับฟางเต๋าหลินจริงๆ หรือว่าอยากจะทำตัวเป็นเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าผู้หญิงสองคนนี้กันแน่


ฟางเต๋าหลินสูดหายใจลึกๆเข้าปอดไปสองเฮือก จากนั้นก็ปั้นยิ้มบนใบหน้า "จริงๆมันก็ไม่เชิงว่าโดนทุบรถอะไรทำนองนั้นหรอก ช่างมันเถอะ เรื่องใหญ่จริงๆคือต้องซื้อรถคันใหม่ต่างหาก ตอนนี้มันเป็นเรื่องสังคมแห่งสันติ**นะ ปล่อยให้เขาทำลายรถนั่นฝ่ายเดียวเถอะ เรื่องแค่นี้เอง พวกเราสู้กลับไม่ได้อยู่แล้ว"


ฟางเต๋าหลินพูดจบ ทุกสายตาในห้องหันไปจับจ้องเขาเป็นตาเดียวกัน อย่างกับคนเห็นผียังไงอย่างนั้น จริงอยู่ที่ฟางเต๋าหลินจะเป็นคนพูดออกมาเองว่า ‘เรื่องแค่นี้เอง’ แต่เพราะ ‘เรื่องแค่นี้’ นี่แหละ เต๋าหลินคนนี้ยังทำตัวเย่อหยิ่งแบบนี้ได้จริงๆเหรอ?


"ทำไมถึงเงียบไปล่ะ? พวกนายไม่คิดเหมือนฉันเหรอ?" ฟางเต๋าหลินอารมณ์ดีที่ได้เห็นผีในชีวิตจริง เพราะสิ่งที่เราต้องการคือปฏิกิริยาแบบนี้ยังไงล่ะ!


ลู่เฟิงกับต้วนหนานล่ะอยากพูดตอกกลับฟางเต๋าหลินจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะพูดยังไงนี่สิ จะให้พวกเขาพูดว่า ‘ถ้าเกิดว่ามีคนมาทุบรถฉัน ฉันก็จะไปทุบรถมันกลับ’ หรือไม่ก็ ‘ใครชนะเราได้ เราก็ต้องเอาชนะมันกลับสิ อย่างนี้ถึงจะถูก’ ต่อหน้าสาวๆได้ยังไงล่ะ? ในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนทำได้คือนั่งเงียบๆเหมือนคนอมทุกข์ หยิบแก้วตัวเองขึ้นมา แล้วจิบไวน์เข้าไปในปากสักอึก แค่นี้ก็พอแล้ว


“เอ่อ เอาเป็นว่าเราอย่าไปพูดถึงรถกันอีกเลย วันนี้เราเชิญคุณเตหลีคุณลี่ และก็คุณฮัวเทียน หลานชายของแพทย์จีนปาฏิหาริย์แห่งประเทศจีนเชียวนะ ทักษะการแพทย์ของพี่ฮัวได้รับการถ่ายทอดโดยแพทย์ชาวจีน ถ้าพวกนายรู้สึกไม่สบายตัว ก็ลองปรึกษาเขาดูสิ" ชายที่พูดกับฟางเต๋าหลินเมื่อกี้ พูดขึ้นมาอีกครั้ง


"มา พวกเรามาดื่มอวยพรให้กับพี่ฮัวเทียนเป็นคนแรกกันเถอะ" ฟางเต๋าหลินยกแก้วขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้น


ลู่เฟิงกับต้วนหนานไม่อยากตามน้ำไปกับฟางเต๋าหลินเท่าไหร่ แต่เพราะฮัวเทียนเองก็เป็นแขกของตนเช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ให้เกียรติคนอื่น ถ้าในอนาคตพวกเขาอยากได้ไปเจอหน้าใครสักคน มีหวังพวกเขาคงไม่กล้าเปิดปากกล่าวคำทักทายอีกฝ่ายแน่ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้แต่ทำทำใจแล้วยกแก้วขึ้นมาพร้อมกับฟางเต๋าหลิน


ทำนองเดียวกัน ฮัวเทียนก็ยกแก้วตัวเองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม


กิริยาของฮัวเทียนนั้นงดงามมาก รอยยิ้มของเขาให้ความรู้สึกอบอุ่น ส่วนรูปร่างและท่าทางของเขาก็ดูสง่าและให้ความรู้สึกหรูหรามาก เขาดูเหมือนนักวิชาการมากกว่าแพทย์แผนจีนเสียอีก


"คุณฮัวคะ ฉันมีคำถามให้คุณหนึ่งคำถามค่ะ" เตหลี คนที่หวานละมุนและไม่เหมือนใคร ส่งยิ้งให้กับเทพบุตรจีนคนนี้ “คือว่าฉันต้องถ่ายหนังเป็นเวลานาน และการคุมอาหารของฉันค่อยไม่ปกติดีเท่าไหร่ ช่วงนี้ บางครั้งฉันก็มีอาการปวดท้อง ฉันไม่รู้ว่าควรจะรักษายังไง คำถามคือฉันควรทำยังไงดีคะ?”


"อันที่จริง ศิลปินหลายคนก็มีอาการเดียวกับคุณครับ ถ้าคุณลองใช้ยาจีนสูตรโบราณดู บางทีคุณอาจ... "


ในขณะที่ฮัวเทียนกำลังอธิบายวิธีการรักษาให้กับเตหลี เฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินก็ได้มาถึงที่ตึกจงหัวเป็นที่เรียบร้อย


เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือหรือว่าโคตรจะบังเอิญ เพราะห้องที่ฮัวหมิงเหรินจองไว้อยู่ประตูถัดจากห้องของฟางเต๋าหลิน


แต่ว่าสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


เมื่อเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินได้เป็นคนขยับเก้าอี้ให้กับเฉินหลง แล้วคอยช่วยให้เฉินหลงได้นั่งบนเก้าอี้แบบสบายๆ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงความกตัญญูของการเป็นลูกศิษย์ยังไงล่ะ! ฮ่าฮ่า อึ๋ย นี่เขาไม่ได้อยากจะเอาหน้าหรือซื้อใจอาจารย์หรอกนะ อย่าเข้าใจเขาผิดๆล่ะ!


กลับกัน ฮัวหมิงเหรินได้ทำให้เฉินหลงรู้สึกอึดอัดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด


คุณบอกว่า ถ้าคุณเป็นเหมือนกับเฉินหลง หรือคุณอายุเท่ากับเขา คุณก็ควรจะไปเป็นคุณปู่แล้วดูแลลูกชายในไส้ของตัวเองเถอะ อ่า นี่มันน่าอึดอัดใจเกินไปหน่อยแล้ว


แต่ฮัวหมิงเหรินกล่าวว่าทุกอย่างควรทำตามกฎเดิม เฉินหลงก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เขาทำไป


หลังจากนี้จะเป็นพิธีโข้วโถวสามครั้ง ตามมาด้วยพิธียกน้ำชา


หลังจากเฉินหลงจิบชา ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินได้แสดงความตื่นเต้นผ่านใบหน้าอย่างมิอาจปกปิด


"อาจารย์!"


นับจากนี้เป็นต้นไป ฮัวหมิงเหรินก็ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเฉินหลงเต็มตัว


*kowtow ที่หมายถึงศิโรราบ คำนี้มาจากคำจีน 叩頭 (ภาษาจีนกลางอ่านว่า โข้วโถว แต่ยืมผ่านจีนกวางตุ้ง อ่านว่า คาวถ่าว) แปลตรงตัวได้ว่า กระแทกศีรษะ


**和谐社会 (hé xié shè huì) = harmonious society / สังคมแห่งสันติ


สังคมที่สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน


สังคมแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ถ้ามีการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และมีจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น