TB:บทที่ 202 ไปทะเล (4)

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 202 ไปทะเล (4)


เมื่อเห็นว่าเฮ่อเฟิงเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่รอให้เขาตอบกลับเลยสักคำ ลั่วฮุ่ยจึงทำได้แค่คลี่ยิ้มออกมาเท่านั้น 


ถึงท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไป แต่นิสัยก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด


ตอนที่เฉินหลงได้ขึ้นไปบนเรือสำราญ เขาพบว่าบนเรือสำราญนี้ดูวุ่นวายมากและเขาก็อยากออกไปชมให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง แต่เพราะลั่วฮุยเป็นคนพาเฉินหลงมาที่นี่ อีกฝ่ายจึงชวนเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ไปช้อปปิ้งบนเรือสำราญด้วยกัน ในเมื่อลั่วฮุยเอ่ยปากเชิญขนาดนี้แล้ว คนอย่างเฉินหลงก็คงไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายได้ลงคอ


เวลาผ่านไปไม่นาน เฮ่อเฟิงก็ได้ส่งคนมารับลั่วฮุยไปทานดินเนอร์


สถานที่ที่ลั่วฮุยและเฮ่อเฟิงมารับประทานอาหารร่วมกันคือไพรเวทรูมในห้องอาหารที่อยู่ชั้นสี่ของเรือสำราญ ในตอนนี้ โต๊ะอาหารที่เคยว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยอาหารจีนนานาชนิด


“พี่สี่ ผมจำได้ว่าพี่ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ ผมจึงให้พ่อครัวเตรียมอาหารที่พี่ชอบทานมาให้แทน ผมหวังว่ารสชาติของที่นี่จะเทียบกับที่บ้านได้นะครับ” เฮ่อเฟิงที่กำลังรอการมาถึงของลั่วฮุย เมื่อเห็นคนที่กำลังรอได้มาถึงแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา 


"ได้เลย ขอบใจนะ" ลั่วฮุ่ยยิ้มตอบ


บนเรือสำราญแบบนี้ ถึงจะมีอาหารฟรี แต่ถ้าสั่งแบบนี้ ยังไงก็ต้องจ่ายเพิ่มอยู่แล้ว แต่เพราะเขาคือเฮ่อเฟิง ในฐานะบอสรายเล็กของเรือสำราญ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินสักแดง


หลังจากนั้น ลั่วฮุยก็ได้พูดคุยและลำลึกถึงความหลังกับเฮ่อเฟิง หลังจากนั้นเขาก็ได้แนะนำเฉินหลงให้รู้จักกับเฮ่อเฟิง


หลังจากที่รู้ว่าเฉินหลงเป็นน้องชายของลั่วฮุย เฮ่อเฟิงเองก็ให้ความสำคัญกับเฉินหลงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะก่อนที่เฉินหลงกับลั่วฮุยจะได้ล่องเรือด้วยกัน เฮ่อเฟิงได้มีทัศนคติที่ดีต่อเฉินหลงอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ ถ้าเฉินหลงกับลั่วฮุยเป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาก็ไม่กล้าละเลยและทำตัวไร้มารยาทต่ออีกฝ่าย เพราะตามความเข้าใจของเฮ่อเฟิง สำหรับคนอย่างลั่วฮุยแล้ว การที่จะนับใครสักคนเป็นพี่น้องของตนนั้นไม่ใช่เรื่งง่ายเลย 


ในตอนที่เฉินหลงและลั่วฮุยกำลังรับประทานอาหารบนเรือสำราญ กู่เหวินที่ได้รับบาดเจ็บและหลบหนีจากเฉินหลง ก็ได้ทำการรักษาตัวอยู่บนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน


ชายในวัยสี่สิบและหญิงสาวในวัยยี่สิบที่ดูเหมือนเจ้านายตัวน้อยกับหญิงสาวในวัยยี่สิบ กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆกู่เหวินเพื่อรอคำสั่งจากเขา


หลังจากที่กู่เหวินหลบหนีไปได้ เธอได้พบกับทั้งคู่ หลังจากนั้นเธอก็ใช้พลังเวทย์กับพวกเขาแล้ว เธอก็ได้ติดตามพวกเขามายังเรือสำราญ ไม่ว่าเฉินหลงจะมีความสามารถมากมายเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเองก็อยู่บนเรือสำราญเช่นกัน เธอจึงใช้โอกาสนี้ในการรักษาตัว


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับทำให้เธอตกใจ ที่รู้ว่าเฉินหลงเองก็อยู่บนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน


ในทำนองเดียวกัน ไม่นานบนเรือสำราญลำนี้ก็ดูครึกครื้นมากกว่าเก่า


เมื่อทานดินเนอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินหลงกับลั่วฮุยก็พากันไปเดินเล่นบนเรือสำราญ


คนทั้งห้ารวมถึงเฉินหลงได้เดินมาถึงดาดฟ้าเป็นสถานที่แรก ที่นี่มีสระว่ายน้ำแบบเกมพูลขนาดใหญ่สองสระ สระว่ายน้ำแบบเวิร์ลพูลสองสระ เซิฟพูล สนามบาสเก็ตบอล กำแพงปีนหน้าผา สนามกอล์ฟขนาดเล็ก และสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบอื่นอยู่บนดาดฟ้า เมื่อได้เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้แล้ว พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนฝั่งและได้มาที่เกมปาร์ค


หลังจากที่เดินชมจนหนำใจแล้ว พวกเขาจึงเดินลงไปข้างล่างเพื่อไปยังสถานที่ต่อไป ข้างล่างมีถนนช้อปปิ้งที่มีรถเก่า ทั้งสองฝั่งถนนช้อปปิ้งมีร้านค้าต่างๆมากมาย ทั้งสินค้าแบรนด์ดัง และลักชัวรี่กู๊ด รวมไปถึงร้านอาหารและร้านกาแฟ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คุณสามารถพบเจอร้านต่างๆที่ตั้งอยู่ในเมืองได้ ร้านทุกร้านก็จะถูกนำมาเปิดขายบนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด แขกทุกคนที่อยู่บนเรือสำราญยังมีความต้องการที่จะใช้จ่ายเงินของตัวเองอยู่ และถ้าพวกเขาจะต้องใช้เงินแล้ว พวกเขาก็ควรได้รับความสุขและความเพลิดเพลินที่ดีที่สุด


เมื่อหญิงสาวทั้งสามได้เห็นร้านค้าต่างๆ เลือดนักช้อปในกายของพวกเธอก็เริ่มไหลเวียน


ทางด้านเฉินหลงกับลั่วฮุยก็ได้มีส่วนร่วมในการช้อปครั้งนี้เช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นคนหอบเสื้อผ้าของหญิงสาวทั้งสามคน เรื่องนี้เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเธอ แต่นอกจากหญิงสาวทั้งสามคนจะซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองแล้ว พวกเธอยังได้ซื้อเสื้อผ้าให้พวกเขาด้วยเช่นกัน อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง 


เดิมที ในตอนที่เขารู้ว่าหญิงสาวทั้งสามคนกำลังจะไปช้อปปิ้ง เฉินหลงก็พร้อมที่จะสรรหาข้ออ้างต่างๆนาๆเพื่อหนีจากพวกเธอ แต่เพราะลั่วฮุยได้มองเขาด้วยสายตาที่ ‘น่าสงสาร’ แบบนั้นแล้ว ทันใดนั้นแผนการชั่วร้ายของเฉินหลงก็ได้พังไม่เป็นท่า ถือซะว่าเห็นแก่พี่ลั่วก็แล้วกัน ครั้งนี้เขาจะยอมไปด้วยก็ได้


ว่ากันตามตรง ลั่วฮุยเองก็กลัวการไปช้อปปิ้งกับสาวๆเช่นกัน โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีนักช้อปถึงสามคน เขาจะต้องปวดหัวมากกว่าเดิมแน่นอน แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาของเขามีสุขภาพแข็งแรงในการช้อปปิ้ง ลั่วฮุยไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ และเมื่อเขาเห็นเธอมีความสุขแล้ว เขาเองก็มีความสุขเช่นกัน 


"พี่สี่ บอกผมหน่อยสิครับว่าทำไมพลังของพวกเธอถึงได้ล้นเหลือขนาดนี้ อย่างกับไปฉีดเลือดไก่*มาเลย นี่พวกเธอไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยกันเลยรึไงนะ" สองชั่วโมงต่อมา เฉินหลงที่หอบถุงช้อปปิ้งเต็มมือ ได้พูดกับลั่วฮุยที่หิ้วถุงช้อปปิ้งในจำนวนที่เท่ากัน


ลั่วฮุยที่ทำอะไรไม่ได้ ตอบเขาว่า "ไม่มีทาง ในตอนที่คนเราจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วมีความสุขกับมันแล้ว พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงคำว่าเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้พวกเธอก็คงจะเป็นแบบนี้ อดทนเอาละกันนะ น้องชาย ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายดี..."


ด้วยเหตุนั้น ลั่วฮุยจึงยกเท้าขวาขึ้นเล็กน้อยและเปลี่ยนท่ายืนสักพัก เนื่องจากการเดินเป็นเวลานานๆ ทำให้เท้าของเขาเริ่มทนต่อไปไม่ไหว 


"เฮ้อ...!" เฉินหลงถอดถอนใจ ถึงเขาจะไม่เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยกับทั้งสามสาวนี่แหละ


เมื่อถึงเวลาดินเนอร์ ทั้งสามสาวที่ติดการช้อปปิ้งมากก็ได้พาทั้งสองคนไปหาอะไรทาน


ในขณะที่กำลังทานอาหาร หญิงสาวทั้งสามคนก็เริ่มพูดคยกันเรื่องของที่ได้ช้อปปิ้งมาในวันนี้


อันหมินซีไม่ได้ช้อปปิ้งอย่างมีความสุขมาเกือบสิบปีแล้ว ความรู้สึกนี้ทำให้ชีวิตของเธอมีสีสันมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เธอมีความสุขกับคนที่เธอรักได้อีกด้วย


ในขณะที่ อันหมินซีหันไปมองลั่วฮุย เธอก็พบว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งสองได้สบตากันและส่งยิ้มให้กันและกัน ราวกับว่าทุกๆอย่างรอบกายพวกเขาตกอยู่ในความเงียบไปเรียบร้อยแล้ว


ในเวลาเดียวกัน เฉินหลงก็สังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคน ในตอนที่เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของพวกเขาแล้ว เฉินหลงก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็ทำอะไรดีๆเป็นเหมือนกันนะเนี่ย


เมื่อทานดินเนอร์เสร็จแล้ว เฉินหลงและคนอื่นๆก็ได้แยกย้ายกลับไปยังห้องของตน


"ตามที่ฉันรู้มา ตอนนี้เฉินหลงอยู่ที่เรือโพไซดอนแล้ว และเราสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว อันดับแรกพวกเราต้องไปที่เรือสำราญก่อน เมื่อเรือสำราญได้แล่นไปจนถึงทะเลหลวง พวกเราก็จะลงมือทำทันที"


"เข้าใจแล้ว"


……


“เฉินหลงอยู่กับลั่วฮุ่ยและก็ไอ้ตัวเหม็นนั่นอีกแล้ว เขาไม่เอาฉันถึงตายหรอก โอเค ในเมืองหลวง ฉันช่วยคุณไม่ได้ เว้นแต่ว่าคุณไปที่ทะเล นี่คือสิ่งที่คุณขอให้ฉันทำ ฉันอยากเที่ยวเล่นที่โพไซดอนสักสองสามวัน”


……


"เฟิงหยาน ฉันได้ข่าวมาว่าเฉินหลงอยู่ที่ โพไซดอน คุณอาจจะมีโอกาสได้เจอกับเขาทั้งตอนกลางวันและกลางคืน”


"เหอะ ลืมไปได้เลย ฉันไม่อยากเจอมัน แล้วฉันก็ฮุบธุรกิจของไอ้หมอนั่นไม่ได้ด้วย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าผู้ชายอวดดีอย่างหลินหนี่จะไปหาเรื่องเฉินหลงไหม" จางเฟิงหยานตอบด้วยท่าทางไม่แยแส


หลังจากที่ได้ต่อสู้กับเฉินหลงมาหลายครั้ง เขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าลำพังแค่ตัวเขาคนเดียวไม่สามารถจัดการกับเฉินหลงได้ ในตอนนี้เขาควรใช้เวลาทั้งหมดที่มีเที่ยวเล่นให้เต็มที่ ในเมื่อเขาไม่มีภารกิจของสำนักที่จำเป็นต้องทำ เขาขอใช้ชีวิตในแบบของเจ้าชายยังจะดีซะกว่า 


"หลินหนี่?" ทันทีที่หลานหลี่เย่ได้ยินชื่อของหลินหนี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาในทันที


หากคุณต้องการบอกว่าสำนักแพทย์ยังมีตำแหน่งสูงมากในแปดสำนักแห่งวิถีเวทย์ ก็คงจะต้องเป็นคนที่ประสบภัยพิบัติสามอย่างและโรคหกโรคแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถมายังสำนักแพทย์ได้ ด้วยทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของเขา หลานหลี่เย่จึงได้รับความนิยมอย่างมาก แต่หลินหนี่กลับไม่ให้ความสนใจต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถทำให้หลานหลี่เย่กลายเป็นสุนัขเพราะความเข้าใจผิดเล็กน้อย ความสามารถของหลานหลี่เย่ถือได้ว่าเป็นระดับกำเนิด แต่อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าหลินหนี่แล้ว เขากลับไม่มีความสามารถในการสู้กลับ รวมถึงพลังและโอสถก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย


ด้วยเหตุนี้ ในความคิดของหลานหลี่เย่ หลินหนี่ได้ทำให้เขาต้องมีแผลในใจไปชั่วชีวิต





*ฉีดเลือดไก่ เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น




แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น