TB:บทที่ 150 คนทั้งแปด

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

TB:บทที่ 150 คนทั้งแปด


"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ" เห็นต้วนหนานและพรรคพวกยังคงยืนเงียบไม่พูดไม่จา เฉินหลงจึงหันไปขยิบตาให้ฮัวหมิงเหริน ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินจึงรีบเดินไปที่รถตนและเปิดประตูให้เฉินหลงได้เข้าไปในรถก่อน


เมื่อส่งเฉินหลงขึ้นรถไปแล้ว ฮัวหมิงเหรินจึงเข้าไปนั่งในรถตามอีกฝ่ายไป ส่วนที่นั่งตำแหน่งคนขับรถ ได้ตกเป็นของฮัวเทียนไปแล้ว


เมื่อเห็นรถคันของศัตรูเคลื่อนที่ออกไปแล้ว ต้วนหนานกับเหล่าเพื่อนๆต่างหันมามองหน้ากันแบบทำตัวไม่ถูก


เดิมที พวกเขาแค่ต้องการเห็นเรื่องวุ่นๆเท่านั้น ไหงกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาถึงรู้สึกอัปยศเกินกว่าจะเห็นเรื่องตื่นเต้นเสียอีก ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอารมณ์เสียไม่น้อย


"ฉันบอกแล้ว สันติสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณไม่เชื่อเองนะ เป็นยังไงล่ะ ตอนนี้จะเชื่อกันได้รึยัง?" ในเวลาเดียวกัน ฟางเต๋าหลินที่กำลังเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้น เดินออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำประชดประชัน “อืม ฉันมีเรื่องต้องทำที่บ้าน ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”


กล่าวจบ อารมณ์ของฟางเต๋าหลินตอนนี้สามารถเรียกได้ว่า มีความสุข


‘หัวเราะฉันได้ตามสบายเลย ยังไงซะ ตอนนี้พวกนายรู้แล้วว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน’ ฟางเต๋าหลินคิดในใจ จากนั้นก็เดินไปที่รถออร์ดี้ อาร์8คันใหม่ใหม่ล่าสุดของตัวเอง


ในความคิดของเขา เขาได้รู้จักคนอย่างเฉินหลงเป็นอย่างดี และเฉินหลงก็ได้กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ว่านึกจะแหย่ก็แหย่กันได้ง่ายๆอย่างนั้น


"เฮ้ นายจะไปไหน?" ต้วนหนานกล่าวในขณะที่ฟางเต๋าหลินกำลังหันหลังให้เขา


‘ฉันโตเกินกว่าจะยืนเสียหน้าอยู่ตรงนี้โว้ย’ ฟางเต๋าหลินไม่ได้ตอบคำถาม


เขาไม่ตอบ ฟางเต๋าหลินเข้าไปนั่งในรถ หลังจากที่สตาร์ทรถ เขาก็ขับออกไปจากที่ตรงนี้ในทันที


ในตอนที่ฟางเต๋าหลินขับรถออกไปแล้ว ต้วนหนานกับคนอื่นๆต่างก็หันมามองหน้ากัน สิ่งที่ฟางเต๋าหลินได้เตือนพวกเขาเมื่อกี้ ในตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะยืนรออะไรอยู่ตรงนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเดินไปหาลู่เฟิง คนที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างและอาลัยอาวรอย่างกับพ่อและแม่ของเขาได้จากไปแล้ว เห็นท่าทางของเขาแล้ว ทุกคนในที่นี่ก็รีบพาเขาออกไปจากที่ตรงนี้ในทันที


ส่วนเรื่องแขนของลู่เพิ่ง ต้องพาเขากลับไปหาวิธีรักษาก่อนเป็นอันดับแรก


หลังจากที่ฮัวหมิงเหรินไปส่งเฉินหลงที่บ้านเรียบร้อย เขาก็ได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง เนื่องจากว่าเขาเพิ่งจะได้เคล็ดลับฝังเข็มฟื้นคืนชีพมาครอบครอง ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปศึกษามันให้เข้าใจอย่างถ่องแท้


เมื่อกลับมาถึงวิลล่า เฉินหลงก็เรียกหาเกาเฟิงเซียว


"มีเรื่องอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้ไหม น้องชาย" เกาเฟิงเซียวเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง


ทุกครั้งที่เฉินหลงเรียกตัวเขา แสดงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และเขาจำเป็นต้องปกป้องเฉินหลงจากเรื่องพวกนั้น


"พี่เกา ตอนนี้ผมก็ได้เป็นถึงพลเอกแล้ว ผมขอปืนสักกระบอกได้ไหมครับ?" เฉินหลงกล่าว


ตั้งแต่ที่เขากลับมาจากค่ายทหาร เฉินหลงก็เอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้ครอบครองปืน เขาคิดว่าบางทีมีปืนอยู่ในมือยังมีประโยชน์มากกว่าใบรับรองเสียอีก


“น้องชาย นายคิดว่าตัวเองต้องการปืนเพื่อความแข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ?” เกาเฟิงเซียวได้ยินว่าเฉินหลงต้องการปืนจากเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอกจากจะคิดว่ามันแปลกนิดหน่อย


"พี่เกา พี่ไม่คิดเหรอครับว่า ถ้าคนอย่างผมได้จับปืนแล้วมันจะดูเท่ห์ขนาดไหน? " เฉินหลงตอบแบบติดตลกเล็กน้อย


เมื่อได้ฟังคำตอบของเฉินหลงแล้ว เกาฟางเซียวจึงไม่เอ่ยปากถามอะไรเขาอีก เขาเห็นด้วยกับอีกฝ่าย บางกรณีสมาชิกของกลุ่มซีโร่สามารถพกปืนเอาไว้กับตัวได้ เพราะพวกเขาจะได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ถึงการมีปืนจะไม่ได้หมายความว่าเราสามารถคุกคามศัตรูได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้มันมีบทบาทในการบังคับคนได้อยู่บ้าง


ประสิทธภาพในการทำงานของเกาเฟิงเซียวนั้นดีมาก เฉินหลงเพิ่งขอเขาไปโดยที่เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ของที่เขาสั่งไป ได้มาส่งถึงหน้าประตูบ้านเขาเสียแล้ว


เมื่อส่งของเสร็จแล้ว เกาเฟิงเซียวก็รีบกลับไปในทันที เพราะเกรงว่าขืนเขายังอยู่ที่นี่ต่อ มีหวังเฉินหลงต้องขอของให้เขาทำอะไรให้อีกแน่นอน


เขาที่เกาเฟิงเซียวส่งมาให้เขาเป็นเป็นกล่องสีดำที่มีขนาดเท่ากับกล่องใส่รองเท้า ภายในกล่องบรรจุปืนพกรุ่น 54 ใหม่เอี่ยม  ซองแมกกาซีนสองซองและกระสุนหกนัด


เมื่อทำการตรวจสอบปืนและกระสุนเส็จแล้ว เฉินหลงก็จัดการนำกล่องนี้ใส่เข้าไปในวงแหวนมิติทันที


เมื่อคิดว่าตอนนี้เขามีปืนติดตัวแล้ว ทันใดนั้นเฉินหลงก็รู้สึกพอใจมาก ท่าเดินของเขาพริ้วเหมือนสายลม เขาล่ะอยากจะตะโกนคำว่า ‘ใครกันที่อยู่ตรงนั้น?!’ ออกมาจริงๆ


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอีกไม่นานก็ถึงเวลาที่น้องสาวของเขาจะต้องไปโรงเรียนแล้ว เฉินหลงและจี้โมซีก็ได้เวลาเดินทางกลับ


เดิมที ระหว่างนี้เฉินหลงอยากจะทดสอบประสิทธิภาพของหินแห่งแสงกับหวังหู แต่หลังจากพิจารณาให้รอบคอบ เฉินหลงก็ได้ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะเขาไม่รู้ว่าการวิวัฒนาการของหินแห่งแสงจะส่งผลอะไรต่อมนุษย์บ้าง ดังนั้นเขาควรพักการทดลองนี้เอาไว้ก่อนที่จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี


หลังจากนั้น หวังหูกลายเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งเว่ยหลงเทคโนโลยี


ในเวลาเดียวกัน เว่ยหลงเทคโนโลยีได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในตึก 30 ชั้น และชื่อของตึกถูกตั้งชื่อเป็นเว่ยหลงเทคโนโลยี โดยที่เฉินหลงซื้อจากรัฐบาลในราคาห้าร้อยล้านหยวน


เพราะระบบภาพเสมือนที่พัฒนาโดยเว่ยหลงเทคโนโลยีนั้นเป็นความลับสุดยอด เพื่อผลประโยชน์ด้านความปลอดภัย รัฐบาลจึงขายตึกที่รัฐบาลเป็นเจ้าของให้แก่เฉินหลง


ในทำนองเดียวกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายใต้คำสั่งของหวังหูล้วนเป็นกองกำลังพิเศษที่ปลดเกษียณจากกองทัพก่อนกำหนดทุกคน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนมีฝีมือ อย่าได้ประเมินความสามารถพวกเขาต่ำไปเด็ดขาด


บริษัทยังต้องการคัดเลือกศิลปิน นักออกแบบ โปรแกรมเมอร์ และพนักงานในตำแหน่งอื่นอีกเป็นจำนวนมากจากผู้สำเร็จการศึกษาทั้งในตอนนี้และก่อนหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่าบริษัทที่เขาวาดฝันเอาไว้ได้ ในที่สุดกลายเป็นบริษัทของจริงสักที


ในตอนที่เฉินหลงกับจี้โม่ซีกลับไปแล้ว คนแปดคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศได้กลับมาถึงประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ทำให้ชีวิตของเฉินหลงที่มีสีสันอยู่แล้ว ยิ่งมีสีสันสวยงามมากขึ้นไปอีก


ตั้งแต่สมัยโบราณ วิถีมารเป็นพลังที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในราชวงศ์สวรรค์ ในระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงและช่วงที่สงครามระหว่างรัฐ เนื่องจากเกิดแนวคิดที่แตกต่างกันและการแข่งขันระหว่างสำนักแต่ละสำนัก มีสำนักหลายร้อยแห่งในฉีหมิงรวมถึง


ลัทธิของขงจื๊อ ลัทธิม้อจื๊อ ลัทธิเต๋า ธรรมะหยินและหยาง แนวคิดแนวตั้งและแนวนอน จิปาถะ ทหารและนิกาย


อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในราชวงศ์ฮั่นฝั่งตะวันตก ลัทธิขงจื้อกลายเป็นฝ่ายธรรม หลังจากนั้นจึงได้ยกเลิกสำนักที่มีแนวคิดที่แตกต่างกันให้มารวมสำนักเข้าด้วยกัน ลัทธิเต๋าดั้งเดิมที่ขึ้นอยู่กับลัทธิเต๋าและการผสมจุดเด่นของ ลัทธิม่อจื๊อ โอสถ คาถาอาคม และของขลังที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และการถือกำเนิดวิถีมารที่คล้ายกับของลัทธิเต๋า


ลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นหยินกับหยาง และความเป็นกับความตาย ทั้งลัทธิเต๋าและลัทธิม่อขึ้นอยู่กับลัทธิเต๋า แต่การให้ความสำคัญของพวกเขานั้นแตกต่างกัน


บรรพบุรุษได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘สวรรค์และโลกไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นดั่งสุนัข’ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเดิมทีลัทธิเต๋าถูกแบ่งออกเป็นเมตตากับไร้เมตตา รักใคร่กับเกลียดชัง ในขณะที่แนวคิดเรื่องความไร้เมตตาและความโหดเหี้ยมได้รับการสืบทอดและพัฒนาโดยวิถีมาร


เนื่องจากแนวคิดที่แตกต่างกัน การปะทะกันระหว่างทั้งสองลัทธิจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


เนื่องจากการต่อสู้เรื่องความแข็งแกร่ง ทำให้พื้นที่ภายในประเทศได้กลายเป็นสนามรบของพวกเขาอีกด้วย พวกเขาจะเลือกคนที่มีพรสวรรค์ให้มาต่อสู้กันเพื่อการแย่งชิงอำนาจ


ครั้งล่าสุดเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองลัทธิหลักในประเทศจีน ฝ่ายธรรมเลือกหลันจื่อ ส่วนวิถีมารอยู่เลือกจงเจิ้ง และฝ่ายที่ได้รับชัยชนะคือฝ่ายธรรม


ผลการตัดสินทำให้ผู้ที่เลือกฝ่ายวิถีมารถูกขับไล่ให้ออกไปจากประเทศจีน และต้องไปหลบภัยอยู่ที่ต่างประเทศเพื่อความก้าวหน้า


แต่ก็ยังมีบางคนยกตัวอย่างเช่นอี้หยางที่สกัดเลือดลมและอาศัยอยู่ในประเทศจีน


หลังจากการระเบิดตัวตายของอี้หยาง ทุกลัทธิที่อาศัยอยู่ต่างประเทศต่างก็ได้ทราบข่าวนี้เช่นกัน ในตอนที่พวกเขารู้ว่าคนที่จัดการเขาได้คือหวังฮง พวกเขาก็รู้ถึงตัวตนของเฉินหลงด้วย


เพราะอี้หยางใช้เคล็ดวิชาลับรายงานเรื่องต่างๆต่อครอบครัวของตน ก่อนที่เขาจะทำการระเบิดตัวเองไปในที่สุด


ถึงแม้ว่ากองกำลังของแต่ละลัทธิของวิถีมารอยู่ที่ต่างประเทศทั้งหมด แต่การตรวจสอบข้อมูลของเฉินหลงกลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลังจากที่ทราบอายุของเฉินหลงแล้ว แต่ละลัทธิจึงมีความคิดที่จะส่งเยาวชนที่เก่งกาจที่สุดของลัทธิตัวเองไปยังประเทศจีน เพื่อไปเอาชีวิตของเฉินหลงมาให้จงได้


ถึงอี้หยางจะไม่มีความสุขในวิถีมารแต่เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในวิถีมาร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของวิถีมาร พวกเขาจำเป็นต้องนำชื่อเสียงกลับมาให้ได้


ประเทศจีนเป็นฐานของเจิ้งเต๋า หากเขาส่งตาแก่ไปฆ่าเฉินหลง เขาอาจทำให้เจิ้งเต๋ามีน้ำโหขึ้นมาได้ ตอนนี้เจิ้งเต๋าแข็งแกร่งมากและฝึกฝนอย่างหนัก คงไม่เป็นผลดีกับวิถีมารแน่ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งคนหนุ่มไปแทน จะได้เป็นการแข่งขันของคนรุ่นใหม่ และพวกที่อยู่ฝ่ายธรรมจะได้ไม่กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นคนรังแกเด็กอีก


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น