RC:บทที่ 200 คนจากตระกูลทั้งสิบ

นิยายลงทุกวัน เวลา 6.00 น. ส่วนเรื่องไหน จำนวนกี่ตอนนั้น สามารถดูได้ ที่นี่

RC:บทที่ 200 คนจากตระกูลทั้งสิบ


ทั้งสองสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อนกลับมาจากร่างของหลิน เฟิง พลางนึกประหลาดใจ


อย่างที่พวกเราทุกคนรู้ มังกรนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ทว่าสัตว์วิญญาณในรูปแบบของมังกรนั้นหาได้ยากยิ่ง และตราบใดที่มีสายสัมพันธ์กับพวกมันเพียงเล็กน้อย ก็จะมีพลังมาก


หลิน เฟิงเองก็สามารถทำพันธสัญญากับตระกูลมังกรได้ กองกำลังแบบไหนกันนะที่หนุนเขาอยู่ จึงได้สัตว์วิญญาณมังกรมาแบบนี้


“แต่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์มังกรบริสุทธิ์นะ” หวัง ฮ่าวหมิงกล่าวขึ้นหลังจากสัมผัสได้ครู่หนึ่ง


“อืม เหมือนมังกร แต่พลังไม่ได้แกร่งเท่ามังกรของจริงหรอก” เติ้ง เทียนฝูว่าขึ้นอีก


“ดูเหมือนว่าความเป็นมาของพี่น้องสองคนนี้จะไม่ธรรมดาเลยนะ เพียงแวบเดียวก็ดูออกเลยว่าสัตว์คู่ใจเราเป็นมังกร แถมยังรู้อีกว่าไม่ใช่สายพันธุ์บริสุทธิ์” หลิน เฟิงว่าพลางยิ้มๆ


“แปะๆๆๆ พี่เติ้งนี่มีพลังไม่น้อยเลยนะครับ แค่เห็นแวบๆ ก็รู้เลยว่าสัตว์คู่ใจของผมคือมังกร แกร่งจริงๆครับ” หลิน เฟิงลุกขึ้นยืนก่อนจะปรบมือ


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง คิ้วของหลิน เฟิงก็เปล่าแสงสีดำออกมา มังกรตัวใหญ่บินออกมาพร้อมกับหดตัวให้เล็กลงอย่างรวดเร็ว มันขดตัวเองไปรอบๆหลิน เฟิงก่อนจะจ้องแสงสีทองนั้น


“นี่เป็นสัตว์คู่ใจของผมเอง มังกรดำครับ แล้วของพี่ๆทั้งสองคนล่ะ เผยตัวตนออกมาให้เห็นหน่อยสิครับ”


“เอ่อ ตัวตนของเรา เกือบลืมไปเลยแหนะ” หวัง ฮ่าวหมิงถอนใจ


“นั่นน่ะสิ ไม่ได้มีใครถามถึงตัวตนของพวกเรามานานหลายปีแล้วนี่น้า” เติ้ง เทียนฝูก็ถอนหายใจเฮือก น้ำเสียงเปลี่ยนไปและดูสิ้นหวัง


“พี่สองคนเป็นอะไรไปน่ะครับ ดูไม่เหมือนเดิมเลย” หลิน เฟิงงุนงง เขาก็พูดดีๆนี่นา แล้วทำไมถึงถอนหายใจกันแบบนั้น


“ฉันมาจากตระกูลอู๋หยางซึ่งเป็นตระกูลลำดับต้นๆจากตระกูลทั้งสิบ ชื่อจริงๆของฉันก็คือ อู๋หยาง ฮ่าวหมิง” หวัง ฮ่าวหมิงพูดขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก


ทันทีที่พูดจบ สัตว์วิญญาณสีดำอย่างเสือชีต้าก็ลอยออกมาจากคิ้วของเขาก่อนจะลงมาที่พื้น สายตาอันเย็นยะเยือกจ้องทุกคนอย่างเฝ้ารอ


“ส่วนฉันมาจากตระกูลกงซุนซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตระกูลเหมือนกัน ชื่อจริงๆของฉันก็คือกงซุน เทียนฝู”


จากนั้นเติ้ง เทียนฝูก็อ้าปาก เกิดแรงอัดขึ้นมาพร้อมกับนกเหยี่ยวสีดำที่ปรากฏกายออกมา บินวนไปรอบๆตัวเขา


“ตระกูลทั้งสิบงั้นหรือ ระดับ B ขั้นสูงสุดด้วย พี่ทั้งสองคนก็เป็นถึงระดับ B ขั้นสูงสุด สมแล้วที่เป็นคนเก่งจากตระกูลทั้งสิบ” หลิน เฟิงอุทาน


หลิน เฟิงคิดว่าตัวตนของพวกเขาต้องต่างกันแน่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะต่างมากขนาดนี้ คนพวกนี้มาจากตระกูลทั้งสิบเลยนะ


พละกำลังก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกเลย แถมยังอยู่ในระดับ B ขั้นสูงสุดอีกด้วย


ตอนที่เจอทั้งสองคนนี้เมื่อครั้งก่อน หลิน เฟิงยังมีพลังอยู่ที่ระดับ C อยู่เลย ก็เลยไม่รู้ว่าพวกเขาก็มีพลัง แต่มาตอนนี้ หลิน เฟิงมาถึงระดับ B แล้ว ตอนที่เห็นพวกเขาในห้องส่วนตัว เขาจึงแน่ใจเลยว่าพวกเขานั้นต่างเป็นผู้มีพลัง


“ความสามารถแบบไหนนะหรือ เราทั้งคู่คือคนที่ตระกูลไม่ต้องการ แล้วก็โดนไล่ออกมานี่ไง” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้นอย่างใจลอย


“ว่าไงนะ” เมื่อหลิน เฟิงได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับอึ้งไป


ทั้งหัวหน้าเติ้งกับหัวหน้าหวังถูกขับไล่ออกจากครอบครัว นี่พวกเขาไปทำอะไรกันมา ถึงโดนตระกูลทั้งสิบถีบหัวส่งออกมาแบบนี้กัน


“นายไม่ต้องแปลกใจหรอก ยังมีอีกตั้งหลายคนจากตระกูลทั้งสิบที่โดนขับไล่ออกมาแบบพวกเรา พวกเราก็แค่หนึ่งในนั้น” หัวหน้าหวังว่าขึ้น


“ทำไมกัน เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ” หลิน เฟิงชักอยากรู้


 “นายก็น่าจะรู้จักตระกูลทั้งสิบอยู่แล้วนี่” หวัง ฮ่าวหมิงว่าขึ้น


“ผมแค่เคยได้ยินแต่ไม่รู้จัก ไม่รู้ด้วยซ้ำแม้กระทั่งนามสกุลของพวกเขา” หลิน เฟิงกล่าว


“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้นายฟังเอง สิบตระกูลที่ว่าก็มี มู่หรง ตงฟาง อู่หยาง กงซุน ชางกวน ซือหม่า หนานกง ฮวงฝูและหลงจือ แบบผสมเก้าและแบบเดี่ยวอีกหนึ่ง”


“ในตระกูลทั้งสิบ พลังของแต่ละตระกูลนั้นน่ากลัวเอามากๆ ในตระกูลนั้นมีคนเป็นหมื่นๆคน สมาชิกแต่ละตระกูลจะถูกแบ่งเป็นห้าระดับ คือสมาชิกต้นอ่อน สมาชิกต้นกล้า สมาชิกมืออาชีพ สมาชิกที่ลงทะเบียนไว้แล้วกับสมาชิกนอกตระกูล”


 “สมาชิกต้นอ่อนงั้นหรือ ไหนจะสมาชิกนอกตระกูลอีก ทั้งหมดที่พูดมานั่นหมายความว่ายังไงกันครับ” เมื่อหลิน เฟิงได้ฟังที่พวกเขาพูดก็ยังไม่เข้าใจนัก


“สมาชิกระดับต้นอ่อนคือคนที่ได้รับการฝึกเพื่อที่จะเป็นผู้สืบทอดต่อไปในอนาคต สมาชิกต้นกล้าคือคนที่จะเป็นเหมือนกระดูกสันหลังต่อไปในอนาคต นายน่าจะเข้าใจคำว่าสมาชิกมืออาชีพกับสมาชิกที่ลงทะเบียนแล้วน่ะนะ ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ สุดท้าย ขอคุยเรื่องสมาชิกนอกตระกูลหน่อยก็แล้วกัน”


“จริงๆแล้ว ในตอนนี้พวกเราคือสมาชิกนอกตระกูล คนที่ถูกตระกูลขับไล่ออกมาทุกคนจะถูกเรียกแบบนี้ พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แซ่ของตระกูล เราเลยต้องเปลี่ยนแซ่ใหม่ และความฝันอันสูงสุดของเราก็คือกลับเข้าตระกูลเหมือนเดิม” เติ้ง เทียนฝูเอ่ย


“กลับเข้าตระกูล? แล้วมีเหตุผลอะไรที่พวกคุณถูกไล่ออกมาล่ะครับ” หลิน เฟิงถามด้วยความอยากรู้


“ความสามารถที่ต่ำเกินไป ความเข้ากันได้ของเขามีแค่ 38 ส่วนฉันมีแค่ 43 และใครที่ไปไม่ถึงระดับ B ก่อนอายุ 30 ปีก็จะถูกไล่ออกมา” หวัง ฮ่าวหมิงตอบ


“ไม่ถึงระดับ B ก่อนอายุ 30? แต่พี่ชายทั้งสองคนอายุมากกว่า 30 ปีแล้วนะแถมยังอยู่ในระดับ B สูงสุดด้วย” หลิน เฟิงว่าขึ้น


“ฮ่าๆ นายเห็นว่าพวกเราอายุ 30 งั้นหรือ จริงๆ พวกเราอายุเกือบจะ 50 ปีแล้วนะ” หวัง ฮ่าวหมิงตบหลิน เฟิงเบาๆก่อนจะพูดขึ้น


 “เดี๋ยวนะ เป็นไปได้ยังไงครับเนี่ย” ไม่อยากจะเชื่อเลย


“นายน่าจะรู้ว่าพลังวิเศษนี้จะคอยหล่อเลี้ยงตัวเรา ก็เลยไม่ดูแก่ยังไงล่ะ อายุจริงๆของฉันน่ะคือสี่สิบแปดปีและน้องหวังก็สี่สิบห้าปีแล้ว พวกเราอายุ 40 ปีแล้วกว่าจะมาถึงระดับ B ได้ เรื่องกลับบ้านน่ะหมดหวังไปได้เลย”


“เฮ้ ไม่เอาน่า ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ มาคุยเรื่องการร่วมมือจัดตั้งบริษัทกันก่อนเถอะ ถ้ายอมรับเงื่อนไขได้ เราก็จะพิจารณาเรื่องนี้กัน” เติ้ง เทียนฝูเปลี่ยนเรื่องพูดและดูไม่ต้องการจะเล่าอะไรเกี่ยวกับครอบครัวอีกต่อไป


“เอ่อ งั้นเดี๋ยวผมจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่ผมคิด...” หลิน เฟิงอธิบายความคิดตรงประเด็น สิ่งต่างๆ จุดสำคัญและจุดขาย


“พวกคุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นแล้วนี่ เหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงได้ผลในเรื่องของการบรรจุพลังวิญญาณปริมาณน้อยๆได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลกับคนธรรมดาๆเท่านั้นแต่ยังส่งผลถึงพวกมีพลัง...” หลิน เฟิงพูดไปเรื่อยๆและบอกพวกเขาในสิ่งที่ตนรู้


“ใช่ จริงๆแล้ว ฉันก็เห็นด้วยกันนายเลยนะ ตอนที่เราเจอนายครั้งแรก ก็รู้เลยเลยล่ะว่ามีพลังวิญญาณปริมาณน้อยนิดอยู่ในนั้น นั่นล่ะคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงต้องการให้นายขายสิทธิ์นั้นให้เราอยู่ตลอด” เมื่อหัวหน้าหวังได้ฟังในสิ่งที่หลิน เฟิงพูด เขาเองก็ไม่ได้เถียงและไม่ได้เห็นด้วยเลยในทันที


“ก็ใช่ อีกอย่าง ความเห็นของหลิน เฟิงก็ไม่ได้ดูเกินไปนัก ฉันเห็นด้วยนะกับเรื่องนี้”


“มูลค่าขององุ่นและไก่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจและผลกำไรในเรื่องนั้นก็น่ากลัวกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก”


“โดยเฉพาะกับพลังวิเศษแล้วด้วย มันจะยิ่งเร่งวิวัฒนาการของสัตว์วิญญาณได้โดยต้องให้อาหารมันทุกวัน  ก็เพราะนายนั่นแหละ พี่เติ้งเลยไปถึงระดับ B ขั้นสูงสุดได้ ไม่อย่างงั้นแล้วกว่าจะมาถึงระดับ B ได้คงจะช้าเกินไป” เติ้ง เทียนฝูว่าขึ้น


จริงๆแล้ว หลิน เฟิงไม่เคยรู้ว่าหัวหน้าเติ้งและหัวหน้าหวังซึ่งเป็นผู้มีพลังจะไม่ได้ต้องการเงินมาก เหตุผลที่พวกเขาทำงานอย่างหนักนั้นก็เพื่อจะทำเงินให้มากขึ้นเพื่อซื้อแก่นวิญญาณและเพื่อจะเอาไว้ดูดซับพลังพลังวิญญาญและพัฒนาความสำเร็จของพวกตน


“เอาล่ะ ลงตัวแล้ว ปล่อยให้ทนายความเป็นคนจัดการทุกอย่างและเตรียมสร้างบริษัทกันเถอะ แล้วว่าแต่จะตั้งชื่อบริษัทว่าอะไรดีล่ะ”


“หรือจะเรียกว่า...”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น